วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พบวิธีการทำให้"คนเป็นอัมพาต"เดินได้อีกครั้ง


เทคนิคใหม่ในทางการแพทย์ที่นำมาใช้จนได้ผลในการทำให้ผู้ป่วยอัมพาตท่อนล่างโดยสิ้นเชิงสามารถกลับมาเดินและใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่งนี้เป็นผลงานของทีมแพทย์ภายใต้การนำของเจฟฟรีย์ เรสแมน ศาสตราจารย์ประจำสถาบันประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอนส์ (ยูซีแอล)
กระบวนการเยียวยาแบบใหม่ซึ่งถูกรายงานไว้ในวารสารการปลูกถ่ายเซลล์ครั้งนี้ เป็นการนำเอา เซลล์เส้นประสาทรับกลิ่น (ออลแฟคทอรี เอนชีธติ้ง เซลล์-โออีซี) จากจมูกของผู้ป่วยเองมาปลูกถ่ายให้ทำหน้าที่เป็นเหมือน "สะพานเส้นประสาท" เพื่อเชื่อมต่อระหว่างส่วนของกระดูกสันหลังที่ถูกตัดขาดออกจากกันของผู้ป่วย ซึ่งศาสตราจารย์เรสแมนเชื่อว่า หากได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง จะกลายเป็นกรรมวิธีที่จะพลิกโฉมหน้าของชีวิตผู้ป่วยอัมพาตที่เกิดจากอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ที่ตอนนี้ไม่มีหวังให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งหนึ่ง

การผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์ประสาทจนประสบความสำเร็จดังกล่าวเป็นการทดลองในผู้ป่วยอาสาสมัครวัย38 ปี ชาวโปแลนด์ ชื่อ ดาเรค ฟิดีกา ที่ถูกแทงบริเวณกระดูกสันหลังจนเป็นอัมพาตท่อนล่างเมื่อปี 2010 ทีมวิจัยใช้วิธีการดังกล่าวรักษาฟิดีกาต่อเนื่องเป็นเวลา 19 เดือน ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจา มูลนิธินิโคลส์เพื่อผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหนัง หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวบางส่วนได้เอง และขาบางส่วนเกิดความรู้สึกได้อีกครั้ง และยังคงฟื้นฟูสภาพร่างกายได้มากกว่าที่คาดหมายไว้อย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้สามารถขับรถและใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือได้

ศาสตราจารย์เรสแมน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอาการกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บจากยูซีแอล ทำงานร่วมกับทีมศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโวรคอฟ จัดการผ่าตัดนำเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) ของฟิดีกาออกมาจาก ส่วนของสมองที่เรียกว่า "ออลแฟคทอรี บัลบ์" ที่อยู่ด้านหน้าสุดของสมองส่วนหน้าเหนือจากช่องจมูกขึ้นไปเล็กน้อยและเป็นศูนย์รวมของประสาทรับกลิ่นของคนเราบวกกับเซลล์สร้างเส้นใยเส้นประสาทรับกลิ่น(ออลแฟคทอรี เนิฟ ไฟโบรบลาสต์-โอเอ็นเอฟ) ซึ่งเป็นกลุ่มเส้นประสาทที่โยงจากช่องจมูกไปยังกลุ่มเซลล์ประสาทรับกลิ่น นำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยในบริเวณที่เส้นประสาทไขสันหลังเสียหาย โดยใช้ปลูกถ่ายเป็น "สะพาน"ระหว่างส่วนของกระดูกไขสันหลัง 2 ส่วนซึ่งถูกตัดขาดจากกันด้วยคมมีด

เส้นประสาทที่ถูกนำออกมานั้น จะถูกแทนที่ด้วยเส้นประสาทใหม่ซึ่งจะงอกเข้าหาศูนย์รับกลิ่นของสมอง หรือ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" อีกครั้ง โดยทีมแพทย์ช่วยเสริมกระบวนการดังกล่าวด้วยการเปิดช่องที่ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" เพื่อให้เส้นประสาทใหม่ได้เชื่อมต่อเข้าไป ทีมวิจัยเชื่อว่า การปลูกถ่ายเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) เข้าไปยังบริเวณที่ไขสันหลังเสียหายจะช่วยให้เส้นใยประสาทที่เสียหายอย่างหนักสามารถเติบโตใหม่ได้อีกครั้ง

ศาสตราจารย์เรสแมนชี้ว่าดูเหมือนโออีซีและโอเอ็นเอฟจะทำงานร่วมกันแต่กลไกลที่ทำให้เซลล์ประสาทรับกลิ่นและเส้นประสาทรับกลิ่้นมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด

ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจสอบรายงานดังกล่าวแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่กับการศึกษาวิจัยโดยตรงชี้ว่าผลลัพธ์ดังกล่าวถือว่าสร้างความหวังใหม่ขึ้น โดยต้องมีการศึกษามากขึ้นต่อไปว่า เพราะเหตุใดการทดลองครั้งนี้จึงประสบผล และจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีนี้กับผู้ป่วยมากคนขึ้นเพื่อให้การประเมินผล ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ทั้งนี้ ทีมวิจัยเตรียมดำเนินการแบบเดียวกันนี้ต่อผู้ป่วยอัมพาตอีก 5 คนในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

ก็ขอให้การวิจัยนี้สำเร็จกับคนไข้ทุกคนโดยเร็วเพื่อที่คนที่เป็นอัมพาตจะได้ลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติได้ จะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด

ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 คนเก่งที่แปลกของโลก

10  ที่มีความสามารถมากกว่า มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ จะมีกัน บางความสามารถ
ของพวกเขาก็เกิดจากการเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้พวกเขามีความสามารถมากกว่า
คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ  เรามาดูกันดีกว่า ว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง


 1. Ma Xiangang (ชายที่สามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าแรงสูงได้) ความบังเอิญเพราะวันหนึ่งนาย Xiangang ได้พยายามซ่อมทีวีที่เสียและบังเอิญมือของเขาดันไปโดนสายไฟที่ยังมีไฟฟ้าเลี้ยงอยู่ แต่แทนที่เขาจะถูกช็อตจนไหม้เกรียม เค้ากลับไม่มีความรู้สึกเจ็บสักนิด และด้วยความสงสัยเค้าเลยไปทดสอบความสามารถของตนเองอีกครั้งด้วยการจับสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้ารั่ว และเค้าก็ต้องประหลาดใจ เพราะนอกจากจะไม่ถูกไฟฟ้าช็อตแล้วเค้ายังไม่รู้สึกเจ็บโดยผิวหนังของเขาสามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าคนทั่วไป 7-8 เท่า


2. Dean Karnazes (ชายที่ไม่มีวันเหนื่อย)พลังพิเศษของเขา คือ สามารถวิ่งมาราธอนได้ถึง 50 รายการใน 50 รัฐ เป็นเวลา 50 วันนอกจากนั้นเขายังวิ่งในระยะทาง 350 ไมล์ (563กิโลเมตร) ในเวลา 3 วันติดต่อกันโดยไม่หยุดพัก ได้มีการทดสอบร่างกายของนาย Dean ว่าทำไมร่างกายเขาจึงสามารถทนทานการออกกำลังกายได้มากกว่าคนทั่วไป และผลการทดสอบพบว่า ถ้าเป็นคนปกติหลังจากการวิ่งมาราธอนกล้ามเนื้อจะได้รับความเสียหายประมาณ 2,400 CPK แต่นาย Deanกลับมีค่าความเสียหายเพียง 447 CPK เท่านั้น สำหรับผลสรุปการทดสอบออกมาได้ว่า ถ้าเขายังคงอยู่ในสภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 7-10 นาที ต่อไมล์ไปได้เรื่อยๆ ตลอดกาล

3. Stephen Wiltshire (ชายผู้มีความสามารถที่ไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น)เขาสามารถวาดภาพทิวทัศน์ของประเทศและเมืองต่างๆ จากความทรงจำเท่านั้น เขาสามารถจดจำทุกๆ รายละเอียดได้ แม้ะจะดูแค่เพียงแว้บเดียว และจนถึงทุกวันนี้เค้าก็ยังจดจำภาพที่เขาเคยเห็นได้ทุกภาพ Stephen เป็นคนที่มีอาการของโรคออทิสติก แต่เขาก็มีสิ่งที่ทดแทนกันได้นั่นคือ ความสามารถในการจดจำและเขายังเคยขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูทิวทัศน์จากด้านบนของเมือง New York ขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์และรายละเอียดได้ ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์


4. Kim Peek (ความสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้)เขาสามารถจำเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดที่เคยอ่านได้ จำนวน 12,000 เล่มได้ โดยเขาสามารถอ่านได้ทีละ 2 หน้าพร้อมๆกัน ตาซ้ายอ่านหน้าซ้ายตาขวาอ่านหน้าขวา เขายังสามารถจดจำทุกสิ่งที่เคยได้พบเจอมาตลอดชีวิตด้วยลายละเอียดที่ถูกต้องถึง 98 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่สภาพอากาศที่ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้นาย Kim มีความสามารถนี้เกิดจากความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้พื้นที่ความจำของเขามีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ โดยนาย Kim Peek เสียชีวิตในปี 2009


5. Wim Hof (มีความสามารถในการต้านทานความเย็น)ชายผู้นี้มีความสามารถพิเศษในการต้านทานความหนาวเย็น เพราะความเย็นไม่สามารถทำอะไรร่างกายเขาได้เลย ซึ่งเคยมีการทดลองโดยให้เขาดำน้ำเย็นจัด ที่สามารถฆ่าคนปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที แต่ปรากฏว่าอุณหภูมิในร่างกายเขาแทบจะไม่ลดลงเลย ซึ่งเขาสามารถทำได้แม้กระทั่งปีนเทือกเขาเอเวอร์เรสโดยใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว โดยนาย Wim Hof บอกว่าความสามารถของเค้าได้มาจากการทำสมาธิ


6. Isao Machii (สุดยอดปฏิกิริยารีเฟล็กซ์)ซามูไรผู้ที่มีปฏิกิริยารีเฟร็กซ์(ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้สมองสั่ง)ที่ยอดเยี่ยมโดยสามารถตัดสิ่งของต่างๆด้วยดาบซามูไรให้ขาดครึ่งได้แม้จะเป็นของเล็กๆ หรือกระทั่งตัดลูกกระสุนปืนอัดลมให้ขาดครึ่งเพราะเป็นความสามารถแบบนี้เราจะพบเจอได้แค่ในหนังเท่านั้น โดยความสามารถของเขาถูกอธิบายไว้ว่า เป็นความสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขา และใช้สัมผัศแบบอื่นนอกเหนือจากการมองเห็น โดยเป็นระบบประมวลผลการรับรู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปกว่าในคนทั่วไป


7. Saul Aaron Kripke (ฉลาดจน Harvard เชิญให้ไปเป็นอาจารย์สอนขณะที่เรียนอยู่ไฮสคูล)เขาเริ่มศึกพีชคณิตเมื่อตอยอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิต และ แคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง จึงหันไปสนใจปรัชญา โดยเขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semamtics) และตรรกวิทยาแบบ Modal Logic ในขณะที่อายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้ได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เชิญชวนให้เขาไปเป็นอาจารย์ ซึ่งเค้ากลับตอบปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนจบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” Kripke ยังได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล และในปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่


8. Akrit Jaswal (สามารถเป็นศัลยแพทย์ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ)“เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเด็กๆที่อายุเท่าๆกัน และในปี 2000 เค้าได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของตัวเองด้วยวัยเพียง 7 ขวบ ซึ่งคนไข้เป็นเด็กอายุ 8 ขวบที่มีฐานะยากจน มือของเธอถูกๆไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่เคยได้เรียนวิชาทางแพทย์อย่างเป็นทางการ และยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดใดๆ แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีกครั้ง โดยขณะนี้ Akrit กำลังเรียนเรียนปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัย Chandigarth และยังเป้นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน


9. Gregory Smith (ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อมีอายุเพียง 12 ขวบ)เขาสามารถอ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบเท่านั้น และเด็กหนุ่มคนนี้ตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิเด็ก และได้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Cliton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง



10. Kim Ung – Yong (จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมีไอคิวสูงที่สุดในโลก)ถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records บันทึกว่าเค้ามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 สามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ และตอนครบ 5 ขวบก็สามารถแก้โจทย์ แคลคิวลัส ที่ซับซ้อนได้ และยังได้เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิฟส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบพออายุ 7 ขวบ NASA ก็เชิญเค้าไปที่อเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 ปี โดยระหว่างที่เรียนเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ไปด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งกลับเกาหลีจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิฟส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและศึกษาจนได้รับปริญญาเอก
ภาพและข้อมูลจาก http://teen.mthai.com/

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูเหมือนหนุ่มคนนี้ ทำในสิ่งที่ไร้จุดหมาย แต่สิ่งทีเขาทำมันทำให้เราตะลึง

Jorge Ridriguez-Gerada นักวาดภาพ contemporary ชาวคิวบา-อเมริกัน  ชอบสร้างสรรค์
ผลงานขนาดยักษ์ขึ้น ซึ่งถ้าเราดูสิ่งที่เขาทำ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
แต่เมื่อมองจากข้างบนจึงจะเห็นความมหัศจจรย์อันใหญ่โตของภาพที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น
และเราลองมาดูผลงานของเขาดังนี้

1.



2.


3.



ภาพและข้อมูลจาก http://www.viralnova.com/

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

silk leaf ครั้งแรกที่ใบไม้ที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถสังเคราะห์แสงและผลิตอ๊อกซิเจนได้เอง




นับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สร้างใบไม้เทียมขึ้น แล้วสามารถสังเคราะห์แสงและผลิตอ๊อกซิเจนได้เองเหมือนกับใบไม้ในธรรมชาติ ผลงานของนักศึกษาจบใหม่จากRCA (Royal College of Art) ชื่อ Julian Melchiorri  ซึ่งใบไม้เทียมที่ว่านี้ สามารถดูดซับน้ำ และคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ แล้วผลิตอ๊อกซิเจนเช่นเดียวกับต้นไม้ในธรรมชาติจริงๆ แนวคิดใบไม้เทียมเช่นนี้ จะทำให้ความฝันที่มนุษย์จะเดินทางไกลในอวกาศ หรือออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศมีความเป็นจริงมากขึ้น
Julian Melchiorri
ผลงานใบไม้เทียมนี้มีชื่อว่า Silk Leaf ผลงานการพัฒนาของ Julian Melchiorri เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ต้นไม้ไม่สามารถเติบโตในที่ที่แรงดึงดูดเป็นศูนย์ Silk leaf มีแนวคิดที่แตกต่างจาก งานวิจัยของNASA ที่จะผลิตอ๊อกซิเจนสำหรับการเดินทางท่องอวกาศ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้ในอวกาศอย่างสิ้นเชิง ด้วยวิธีคิดใหม่วัสดุแบบใหม่นี้จะทำให้เราสามารถสำรวจอวกาศได้มากกว่าที่เราทำได้อยู่ในปัจจุบัน






สำหรับโครงการ Silk Leaf ของMelchiorri นี้ เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร Innovation Design Engineering ที่ร่วมมือกับ Tufts University ในสหรัฐอเมริกา ห้องปฏิบัติการ Silk ประกอบไปด้วยเซลล์สังเคราะห์แสงของพืช (chloroplasts) ที่ลอยอยู่ในโปรตีนจากไหม




วัสดุใหม่ที่ได้นี้ สกัดโดยตรงจากเส้นใยของไหม มันมีคุณสมบัติที่น่ามหัศจรรย์ของโมเลกุลที่มีความเสถียร ผมสกัดเอาเซลล์สังเคราะห์แสงจากเซลล์ของพืชและวางมันลงในโปรตีนของไหม (silk protein) สิ่งที่เกิดขึ้นผมได้เห็นวัสดุสังเคราะห์แสงด้วยตัวเองได้เป็นครั้งแรก มันมีชีวิต และหายใจได้เช่นเดียวกับที่ใบไม้จริงๆทำ ” สิ่งที่ Silk Leaf ต้องการเพื่อผลิตอ๊อกซิเจน มีเพียงแสงสว่าง และน้ำเพียงเล็กน้อย



โคมไฟ Silk Leaf เป็นโคมไฟ ที่ให้แสงสว่าง น้ำหนักเบามากๆ ใช้พลังงานน้อยนิด และแสงสว่างจากโคมไฟยังช่วยผลิตอ๊อกซิเจนได้ด้วย บ้านก็จะได้ทั้งแสงสว่าง และอ๊อกซิเจน นอกจากนั้นในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น มันสามารถนำมาใช้ในพื้นที่ภายนอก เช่น ผนังภายนอกของอาคารในเมือง ก็จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในเมือง และเพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับผู้คนที่อาศัยในเมืองมีอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น ช่วยกรองอากาศเสียจากภายนอก และเพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับภายในอาคาร



ข้อมูลและภาพจาก http://www.iurban.in.th/
ดูเพิ่มเติม
http://www.dezeen.com/2014/07/25/movie-silk-leaf-first-man-made-synthetic-biological-leaf-space-travel/

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ฝรั่งเปิดร้านขายหอยทอดผัดไท ลูกค้าติดใจฝีมือ


ชาวสวิสฯ เปิดร้านอาหารตามสั่งชื่อ ส.นายฝรั่ง ต.จรเข้ร้อง อ.ไชโย จ.อ่างทอง โชว์ผีมือปรุงผัดไทหอยทอด จนลูกค้าติดใจในฝีมือมาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก

นายโทนี่ สมิธ  อายุ 54 ปี  สัญชาติสวิสเซอร์แลนด์ เผยเดิมทำงานเป็นวิศวกรเกี่ยวกับเครื่องปั้มน้ำ แต่ช่วงหลังเบื่อกับงานที่สวิสเซอร์แลนด์ จึงย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย และได้มีครอบครัวกับนางสิริพร  เปิดร้านขายอาหารอยู่กรุงเทพฯ 

เนื่องจากชื่นชอบอาหารไทย  จึงเรียนรู้การทำอาหารไทยจากนางศิริพร เมื่อนางศิริพร ย้ายมาอยู่ที่ จ.อ่างทอง จึงเปิดร้านอาหารตามสั่ง และได้มีโอกาสหัดทำผัดไทย-หอยทอด จนมีความชำนาญ

นางศิริพร กล่าวว่า นายโทนี่  มักจะมาช่วยตนทำอาหารเสมอ และมีใจรักที่จะทำอาหาร จึงสอนการทำอาหารรูปแบบต่างๆ บางวันหากลูกค้าที่ร้านเยอะ ทำไม่ทันก็ให้นายโทนี่มาช่วย ที่สำคัญอาหารที่นายโทนี่ทำนั้นอร่อย  จนลูกค้าติดใจ

นางปัณณรัตน์ ธนรัตน์รุ่งเรือง อายุ 60 ปี  กล่าวว่า เป็นลูกค้าขาประจำของนายโทนี่ มาหลายปีแล้ว ยอมรับและทึ่งกับฝีมือของนายโทนี่ ที่ทำอาหารได้ถูกปาก

สำหรับ ร้าน ส.นายฝรั่ง  ทุกวันจะมีลูกค้ามาอุดหนุนกันเป็นจำนวนมาก  โดยเฉพาะสูตรหอยทอดลอยฟ้าของนายโทนี่   ที่สำคัญนายโทนี่สามารถพูดจาภาษาไทยได้อย่างชำนาญ


ภาพและข้อมูลจาก http://www.nationtv.tv/

ชายไม่มีขา สู้ชีวิต จนเป็นเจ้าของฟาร์มแกะ


"หวังเสี่ยวผิง" หนุ่มวัย 33 ในหมู่บ้านเล็กๆชื่อ Xiyulin ที่จังหวัด Zhangjiakou โชคร้ายที่
เมื่อมีอายุ 7 ขวบ เขาเจออุบัติเหตุจากไฟไหม้ จนต้องสูญเสียขาทั้งสอง บวกกับความ
ยากจนของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเรียนหนังสือแค่ชั้นมัธยม

ถ้าจะมีโชคดีก็คือ เขามีเพื่อนและครอบครัวช่วยเหลือและให้กำลังใจมาโดยตลอด
หวังเสี่ยวผิง จึงไม่ทดท้อแม้จะไม่ครบ 32 และภรรยาของเขาก็เดินทางไปทำงานที่ปักกิ่ง 
โดยทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังกับลูกชายวัย 5 ขวบ

ปี 2011 หวังเสี่ยวผิงตัดสินใจทำธุรกิจ"ฟาร์มแกะ" โดยการสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่น 
ซึ่งถือเป็นเรื่องยากสำหรับ"คนไร้ขา"สำหรับเขา 

แต่ไม่กี่ปีผ่านมาจนถึงบัดนี้ ชายผู้ไร้ขาคนนี้ กลายเป็นหนึ่งในผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง
ของเมือง รวมทั้งยังเป็น"แรงบันดาลใจ"ให้คนจีนทั่วประเทศสู้ชีวิต จากภาพที่่เห็น
"หวังเสี่ยวผิง" ไม่ย่อท้อแม้จะยากลำบากกับการต้องปีนป่ายรั้วสูงเพื่อนำอาหาร
ไปให้แกะของเขา

ภาพที่เขาแต่งตัวให้ลูกชาย ที่ปรากฎให้ชาวเน็ตในเมืองจีนเห็น มีคนเขียนข้อความว่า 
"ผมเชื่อว่าในดวงใจของลูกชาย พ่อของเขาเป็นผู้ชายที่สูงสง่า และนี่เป็นครอบครัว
ที่มีความสุขจากจิตใจที่แข็งแกร่งและความขยันหมั่นเพียร"

นี่คือคนที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ครบ 32 ไม่ใช่ไม่มีความหวังในชีวิต

ภาพและข้อมูลจาก http://www.nationtv.tv/

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แค่บะหมี่สำเร็จรูป พานร.จีนได้เข้าเรียนม.สหรัฐได้

ซิงฮัน หวัง นักเรียน ม.6 โรงเรียนมัธยมฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน โปรดปรานบะหมี่สำเร็จรูปเป็นชีวิตจิตใจ
นับจากเริ่มลิ้มรสครั้งแรกเมื่อตอนเป็นเด็ก ยิ่งพ่อกับแม่ทำงานข้างนอกไม่ค่อยอยู่บ้าน เด็กชายหวังจึง
ต้องพึ่งบะหมี่สำเร็จรูปมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะหุงข้าวไม่เป็น

 
                            เมื่อโตขึ้นและเดินทางท่องเที่ยวในเอเชีย ก็ได้ลองบะหมี่สำเร็จรูปเกือบทุกรสชาติ
ตั้งแต่ยี่ห้อไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลี และนิชชินของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเคยทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานสัมมนาเ
กี่ยวกับบะหมี่สำเร็จรูปของเอเชียครั้งหนึ่ง  
 
                            แต่ หวัง ไม่เคยคิดเลยว่า การเป็นแฟนพันธุ์แท้บะหมี่สำเร็จรูปจะนำมาซึ่งโอกาส
ครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยโรเซสเตอร์ ในนิวยอร์ก สถาบันการศึกษาอันดับที่ 50
 ในสหรัฐ ตอบรับเรียงความของ หวัง ที่สาธยายถึงความชื่นชอบและสนใจอาหารง่ายๆ ชนิดนี้ 
 
                            "ความชื่นชอบบะหมี่สำเร็จรูปเริ่มจากการติดใจในยี่ห้อสิงคโปร์ และเมื่อเดินทาง
ไปลองถึงถิ่น โลกของผมก็เปลี่ยนไปนาทีที่ได้ลิ้มรสชาติของมัน"
 
                            โจนาธาน เบอร์ดิค รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยโรเซสเตอร์ฝ่ายพิจารณารับนักศึกษา
กล่าวว่า ผู้สมัคร (ซึ่งจริงๆ ยังมีความสำเร็จอีกหลายอย่าง) เขียนเรียงความได้อย่างสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน
รวมทั้งเรื่องที่เมื่อครั้งเป็นเด็กอ้วนๆ คนหนึ่ง เข้าร่วมทีมบาสเกตบอลวันแรก แต่ฝันจะเป็น "เนท โรบินสัน"
ดารานักบาสอเมริกันจากทีม "เดนเวอร์ นักเก็ตส์" คนต่อไป แต่ความคลั่งไคล้ในบะหมี่สำเร็จรูปมีรายละเอียด
ที่โดนใจผู้อ่านมากที่สุด จึงใช้เป็นเหตุผลในการเสนอรับเข้าเรียน 
 
                            หวัง ดีใจมาก และนำส่วนหนึ่งของจดหมายโพสต์บนเว็บไซต์เว่ยป๋อ ซึ่งทำให้เรื่องราว
ของเขาแพร่ออกไปในวงกว้าง เนื้อหาส่วนนั้นระบุว่า "คณะกรรมการเสนอแนะให้มหาวิทยาลัยรับคุณเข้าเป็น
นักศึกษาหลังจากได้อ่านความสนใจของคุณที่มีต่อบะหมี่สำเร็จรูป มั่นใจว่าคุณจะฉายแววและเติบโต
อย่างแข็งแกร่งเมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโรสเซสเตอร์"
 
ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

สกูตเตอร์ฉบับกระเป๋า

                     เบื่อกับการต้องลากกระเป๋าเดินทางใบโตๆ เวลาต้องเดินทางหรือไม่ เหอ เหลียงไค นักประดิษฐ์สมัครเล่นจากเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ทางภาคกลางของจีน มีทางเลือกใหม่ด้วยการเปลี่ยนกระเป๋าเดินทางธรรมดา เป็นสกูตเตอร์เสียเลย ไม่เพียงจุสิ่งของส่วนตัวเวลาเดินทาง ยังเป็นพาหนะให้เจ้าของนั่งขี่ได้อย่างสบายๆ

 
                      ฉางชา อีฟนิง นิวส์ รายงานเมื่อวันพุธว่า เหอ เหลียงไค ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอะไหล่รถยนต์ ได้สาธิตสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่าใช้งานได้จริง ด้วยการขี่ร่อนมาจากบ้าน มายังสถานีรถไฟฉางซาที่อยู่ห่างกัน 12 กิโลเมตร
 
                      กระเป๋าสกูตเตอร์คันนี้ มีน้ำหนัก 7 กิโลกรัม บรรทุกน้ำหนักได้สองคนแต่ละครั้ง วิ่งได้ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 50-60 กิโลเมตรหากชาร์จแบตเตอรี่ลิเธียมจนเต็ม
 
                      หากดูจากภาพเหมือนไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก แต่สำหรับคนคนหนึ่งที่ร่ำเรียนเพียงมัธยมต้น ต้องถือว่าน่าทึ่งอย่างมาก
 
                      เหอ เหลียงไค ใช้เวลานับสิบปีในการค่อยๆ พัฒนาสกูตเตอร์คันนี้ ต้องปรับแก้ปมต่างๆ อาทิ จะใช้ล้อแบบไหนจึงเหมาะ กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นกระเป๋าวิ่งได้ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยคันบังคับ เบรก สัญญาณไฟ และแตร หากยังติดตั้งระบบจีพีเอสและสัญญาณกันขโมยพร้อมสรรพ
 
                      ก่อนหน้านี้ เหอ เหลียงไค เคยได้รับรางวัลที่หนึ่งมาแล้วจากงานแจกรางวัลนักประดิษฐ์ในสหรัฐ จากผลงานระบบความปลอดภัยรถยนต์ เมื่อปี 2542 และขณะเดินทางไปรับรางวัลนี้ เกิดลืมกระเป๋าเดินทาง จึงเกิดแนวคิดที่จะประดิษฐ์สกูตเตอร์ลักษณะนี้ขึ้นมา
 
                      เหอ เหลียงไค ได้ยื่นจดลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐชิ้นนี้กับสำนักงานลิขสิทธิ์ทางปัญญาของจีนแล้ว และคิดว่าน่าจะนำไปใช้สำหรับการเดินทางใกล้ๆ ในเมืองได้

ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประทับใจ ภาพเด็กน้อยวัยไม่ถึง 2 ขวบ เดินตามเจ้าอาวาสวัด ออกบิณฑบาตรทุกเช้า



วันที่ 26 พ.ค.2557 ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า ชาวบ้านย่านบางกรวย ต่างประทับใจ ภาพเด็กน้อยวัยไม่ถึง 2 ขวบ
เดินตามเจ้าอาวาสวัดป่ามณีกาญจ์ จ.นนทบุรี ออกบิณฑบาตรทุกเช้า จนกลายเป็นที่โจษขานไปทั่วถึง
ความน่ารักน่าชังของเด็กชายคนดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่าชื่อ ด.ช.จิรากรณ์ หรือน้องกร
เสือแผ้ว อายุ 1 ปี 11 เดือน ซึ่งทุกเช้านางวริษฐา เสือแผ้ว ผู้เป็นแม่จะพามารอพระอาจารย์อำนวย
จิตฺตสํวโร เจ้าอาวาสวัดที่หน้ากุฎิเพื่อให้ลูกชายได้ทำกิจกรรม โดยการเดินตามเจ้าอาวาส และพระภิกษุ
สามเณรออกเดินบิณฑบาตร โดยพระอาจารย์อำนวยได้กล่าวถึงน้องกรณ์ ว่าเป็นเด็กน่ารัก เฉลียวฉลาด
เรียนรู้ไว และชอบตามโยมแม่มาที่วัดทุกวันไม่เคยขาด โดยจะเดินนำหน้าพระเพื่อรับของที่ญาติโยม
ใส่บาตร พร้อมยกมือไหว้ตามประเพณีพุทธศาสนา


จากนั้นจะกลับมาใส่บาตรสามเณรที่วัด ซึ่งกว่าจะใส่เสร็จก็เล่นเอาสามเณรเหนื่อยไปเหมือนกัน
เพราะด้วยความที่น้องยังเป็นเด็ก หลังจากนั้นน้องกรณI
ก็จะขึ้นไปนั่งกับอาตมาที่ศาลาการเปรียญ
เพื่อโปรดญาติโยม ซึ่งระหว่างนั้นอาตมาจะให้น้องนอน
พักผ่อน เนื่องจากต้องตื่นแต่เช้า
แล้วจะปลุกน้องอีกทีเมื่อถึงเวลาบังสุกุล และถวายสังฆทาน โดยน้อง
จะใช้เวลาอยู่ที่วัด
ประมาณครึ่งวัน ก่อนจะกลับบ้านช่วงบ่าย


ขณะที่นางวริษฐา กล่าวว่า เริ่มพาน้องเข้าวัดตั้งแต่อายุได้ 3 เดือนกว่า เนื่องจากต้องการปลูกฝังให้ลูก
เติบโตเป็นคนดีอยู่ใกล้ศาสนามากที่สุด อยากให้น้องกรณ์ได้เรียนรู้ฝักใฝ่ในธรรมะให้มากที่สุด ตอนนี้
ก็ดีใจมากทีเขาไม่เคยร้องไห้หรืองอแงเลยเวลาถูกปลุกมาวัด น้องเขาจะดีใจมากรีบกุลีกุจอตื่นเพื่อไปหา
พระอาจารย์ ซึ่งก็ได้รับความเมตตาจากระอาจารย์ด้วยดี อยากปลูกฝังให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรมโตขึ้น
จะได้เป็นเยาวชนที่ดีของสังคม.
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนุ่มน้อยวัย 4 ขวบ เลียนแบบดาราฮอลลีวูด



เรียกได้ว่าแจ้งเกิดได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย สำหรับหนุ่มน้อยวัย 4 ขวบ ที่ได้สร้างยอดผู้ติดตาม
มากกว่า 80,000 คน ในอินสแกรม
 กับไอเดียสุดเจ๋งคือการแต่งตัว แฟชั่น เลียนแบบดาราฮอลลีวูดที่ใส่เสื้อผ้าดีไซเนอร์ราคาแพง ด้วยเสื้อผ้าที่เขามีและราคาไม่แพงนั่นเอง วันนี้ เราจะขอพาเพื่อนๆ
ไปรู้จักกับหนุ่มน้อยสุดคูล ที่เป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลในขณะนี้กันครับ




ไรเกอร์ วิกซอม (Ryker Wixom) หนุ่มน้อยจาก LA รัฐแคลิฟอเนีย อายุ 4 ขวบ ได้รับการออกแบบการแต่งตัว
สุดเท่จากแม่ของเขานั่นเอง ได้รับความนิยมจากโลกโซเชียลอย่างมากมาย เพราะนอกจากความน่ารัก
ของน้องแล้ว สิ่งที่ชาวโซเชียลชื่นชอบก็คือ การที่เขาแต่งตัว เลียนแบบดาราฮอลลีวูด นั่นเอง โดยแทนที่
เขาจะแต่งตัวให้เหมือนด้วยเสื้อผ้าราคาแพงโดยดีไซเนอร์ เขากลับแต่งตัว้วยเสื้อผ้าราคาที่ไม่แพง อย่าง
 Gap, H&M, Target, Old Navy และ Zara นั่นเอง





โดยแม่ของหนูน้อยไรเกอร์ได้ อธิบายว่า ตัวของเธอได้รับแรงบัลดาลใจมากจากบล็อกที่เธอเขียนในโซเชียล
 โดยมันเริ่มต้นจาก เพิ่อนของเธอได้โชว์รูปแฟชั่นสำหรับเด็กให้เธอดู นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียแต่งตัว
ไรเกอร์ เลียนแบบดาราฮอลลีวูด นั่นเอง






ภาพและข้อมููลจาก http://men.mthai.com/




วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

'เครื่องหยอดข้าว'ลดต้นทุนการผลิต


การเปิดเสรีทางการค้าของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนในปลายปี 2558 ที่จะถึงนี้ ทำให้หน่วยงานภาครัฐ
ต่างเร่งรับมือกับการแข่งขันในการเปิดเสรีทางการค้าครั้งนี้ โดยเฉพาะสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(ส.ป.ก.) หนึ่งในหน่วยงานภาครัฐได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินให้มี
ศักยภาพการผลิต มีมาตรฐานสินค้าเกษตรที่ดี โดยเฉพาะในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต เพราะหากเกษตรกร
สามารถลดต้นทุนการผลิตก็จะเป็นการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าในกลุ่มประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
 
                         "พื้นที่ของ ส.ป.ก.มีความหลากหลายทางกายภาพ และการประกอบอาชีพของเกษตรกร
ในเขตปฏิรูปที่ดิน ทำให้ภารกิจของ ส.ป.ก.ดำเนินการไม่ทั่วถึงทั้งหมด ในเบื้องต้นจึงมุ่งเน้นที่กลุ่มเกษตรกร
ทำนาก่อน เพราะเป็นกลุ่มอาชีพที่มีพื้นที่เพาะปลูกในเขตปฏิรูปที่ดินค่อนข้างมาก คือมากกว่าร้อยละ 50
ของพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน"
 
                         ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)
กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ส.ป.ก.พยายามปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว จากเดิมที่เคยใช้วิธีหว่าน มาใช้เครื่องหยอด
เมล็ดข้าว ซึ่งศูนย์เครื่องจักรกลของ ส.ป.ก. เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและจัดทำเครื่องต้นแบบ เป็นเครื่องจักรกล
แบบง่ายๆ มีกลไกไม่ซับซ้อน และเกษตรกรสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ โดยสร้างหรือผลิตใช้เองได้
โดยมีต้นทุนการผลิตเครื่องละประมาณ 5,000 บาทเท่านั้น และสามารถใช้งานได้ทั้งนาน้ำตม และนาแห้ง
มีประสิทธิภาพของเครื่องหยอดข้าวสูง ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะจ้างแรงงานการหว่านและการปักดำได้
ทั้งลดปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ไปได้มาก
 
                         "โดยปกติหากใช้วิธีการหว่านเกษตรกรต้องใช้เมล็ดพันธุ์ถึง 30 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อ
หันมาใช้เครื่องหยอดเมล็ดข้าวจะใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ราคาเมล็ดพันธุ์กิโลกรัม
ละ 25 บาท หากคำนวณพื้นที่ 1 ไร่ เกษตรกรจะประหยัดค่าเมล็ดพันธุ์ได้ 675 บาท และเมื่อรวมกับค่าจ้าง
หว่านแล้วก็จะลดต้นทุนการผลิตลงไปได้อย่างน้อย 1,000 บาทต่อไร่ นอกจากนี้ในส่วนของประโยชน์
หรือผลพลอยได้ จะช่วยลดการใช้ปุ๋ย ลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลง และความสูญเสียจากการเก็บเกี่ยว
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดการลดลงตามไปด้วย" 
 
                         ดร.วีระชัยย้ำด้วยว่า เรื่องนวัตกรรมเครื่องหยอดข้าว ส.ป.ก.ให้ความสนใจค่อนข้างมาก
โดยจะมีการขยายผลการดำเนินงานด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกรรมเครื่องจักรกล โดยแบ่งการทำงาน
ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มผู้ใช้เครื่องจักรกล ต้องใช้และมีทักษะอย่างไร จึงจะเข้าถึงองค์ความรู้
สร้างความเข้าใจจนสามารถเป็นวิทยากรให้ความรู้ผู้อื่นได้ ซึ่งการใช้เครื่องหยอดแบบนี้จะลดต้นทุนได้
อย่างแท้จริง ต่อไปหากมีความต้องการใช้เครื่องหยอดข้าวเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ส.ป.ก.ต้องเตรียมไว้ คือ
การขยายผลนวัตกรรมเครื่องจักรกลต่อไป
 
                         ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้พยายามจะสร้างเครือข่ายก็คือ ช่างท้องถิ่น เพราะช่างท้องถิ่น
เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้เครื่องหยอดด้วยตนเอง จนสามารถผลิตเพื่อการจำหน่ายและ
ขยายผลต่อไปได้ สร้างเครือข่าย เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และพัฒนาเครื่องจักรกลในเรื่อง
เครื่องหยอดเมล็ดข้าวให้ดีเยี่ยมและกว้างขวางยิ่งขึ้น
 
                         นับเป็นอีกก้าวของส.ป.ก.ในการนำนวัตกรรมเครื่องหยอดข้าวมาใช้ในการทำนา
นอกจากจะช่วยในเรื่องลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน และประหยัดเมล็ดพันธุ์แล้วยังทำให้ค่าใช้จ่าย
ในการจัดการลดลงตามไปด้วย

ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นักวิจัยจุฬา ฯ ประสบความสำเร็จในการกำเนิดแมวหลอดแก้ว

เมื่อวันที่ 16 พค.57 ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร. มงคล เตชะกำพุ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และ สัตวแพทย์หญิง ดร. อัมพิกา ทองภักดี เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ในการให้กำเนิดลูกแมวจากการปฏิสนธินอกร่างกาย หรือ "ลูกแมวหลอดแก้ว” โดยเป็นแมวแฝดที่เกิดจากหลอดแก้ว
คู่แรกของไทย ซึ่งได้ตั้งชื่อว่า 
เบาหวิว และหนักอึ้ง

ทั้งนี้ประเทศไทยมีแมวมงคลทั้งสิ้น 17 ชนิด ขณะนี้เหลือให้ชื่นชมเพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ วิเชียรมาศ
ศุภลักษณ์ โกนจา และสีสวาด ซึ่งนับวันหายากและใกล้สูญพันธุ์ งานวิจัยดังกล่าวจึงเป็นก้าวสำคัญ ในการนำ
ไปถ่ายทอด เพื่ออนุรักษ์พันธุ์แมวไทยหายากหรือที่สูญพันธุ์ไปแล้ว รวมถึงใช้กับสัตว์ป่าที่สายพันธุ์ใกล้เคียงกับแมว
สำหรับการผสมเทียมหลอดแก้วลูกแมวนั้นเป็นการนำเอาตัวอสุจิไปผสมกับไข่อ่อนที่สุกแล้ว ในหลอดทดลอง ซึ่
งเดิมใช้หลอดแก้ว เป็นกระบวนการเกิดนอกร่างกาย เลียนแบบสภาวะธรรมชาติ ให้ได้ตัวอ่อนขึ้นมาแล้วจึงนำ
ไปฝากในแม่แมวตัวรับให้ตั้งท้องแทน หรือที่เรียกว่าอุ้มบุญ
ส่วนขั้นตอนของการผลิตลูกแมวหลอดแก้ว ประกอบด้วย การนำไข่อ่อนที่ยังไม่พร้อมปฏิสนธิมาเลี้ยงใน
หลอดทดลอง หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ไข่อ่อนจะสุกพร้อมปฏิสนธิ จึงเอาตัวอสุจิใส่ลงไป ทิ้งไว้18 ชั่วโมง
แล้วนำมาเลี้ยง จนได้ตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ประมาณ 24-48 ชั่วโมง แล้วนำไปย้ายฝากในแม่แมวอุ้มบุญ
จากนั้นปล่อยให้แม่แมวอุ้มท้องและคลอดหลังตั้งท้องนานประมาณ 2 เดือน
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ที่สุดของชีวิต "รัตนวดี เหมนิธิ วินเธอร์" ภริยาทูตเดนมาร์ก



นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2011 ที่ รัตนวดี เหมนิธิ วินเธอร์ เดินทางกลับมาพำนักในประเทศไทยในฐานะ "ภริยาเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย" นับเป็นเวลา 4 ปี ที่เธอบอกว่าเป็น "ที่สุดของชีวิต" 

ย้อนกลับไป ก่อนที่สตรีไทยใบหน้าคมหวาน สาวโคราชคนนี้จะตกปากรับคำเป็น "หลังบ้าน" ให้กับ มิคเคล วินเธอร์ ทูตเดนมาร์ก เส้นทางชีวิตของเธอตั้งแต่เยาว์วัย เหมือน "ปูทาง" มาเพื่อการเป็นภริยาทูตอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ว่าจะเป็นชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก สามารถสอบชิงทุนเป็น"นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS" ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาโทรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ ประเทศแคนาดา และเมื่อเรียนจบก็สมัครเข้าทำงานที่แคนาดาเลย ด้วยตั้งใจว่าจะลงหลักปักฐานไปตลอดชีวิต 

"ชีวิตเหมือนความฝัน แต่เป็นฝันที่เป็นจริง" รัตนวดี เอ่ยปากพลางยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่เปิดบ้านย่านสาทรให้ทีมข่าวจากมติชนเข้าเยี่ยมชม ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของบ้าน 2 ชั้น สนามหญ้ากว้างใหญ่ ที่ตอนนี้ "นกยูง" กำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ 

หลายคนอาจมองว่า ชีวิตภริยาทูตคงจะหรูหราฟู่ฟ่า แต่สำหรับรัตนวดี เธอเป็น "คนสู้ชีวิต" และเป็น "เวิร์กกิ้งวูแมน" คนหนึ่ง

"ที่แคนาดา พอเราขอเป็นพลเมืองของเขาแล้ว เราจะได้รับโอกาสให้เข้าทำงาน ดิฉันได้ทำงานในด้านการศึกษา เริ่มตั้งแต่เป็นครู ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เสาร์-อาทิตย์ไม่หยุดพักผ่อน ดึกดื่นค่ำมืด หิมะตกก็ลุยไปทำ จนได้รับโอกาสให้เป็นผู้บริหารของกรมการศึกษาที่โน่น มีหน้าที่ดูแลคนต่างชาติที่ขอโอนสัญชาติเป็นคนแคเนเดียน โดยเป็นผู้จัดคอร์สอบรมให้กับนิวแคเนเดียน ทั้งการสร้างทักษะทางภาษา ทักษะการทำงาน ทักษะการใช้ชีวิต" 

(บน) ฐานทัพอเมริกาในกรุงแบกแดด (ล่าง) เอกอัคราชทูตเดนมาร์กกับหน่วยรักษาความปลอดภัย


ในอายุเพียง32ปีเธอสามารถก้าวขึ้นสู่ "ผู้บริหาร" ควบคุมดูแลพนักงานนับ 100 คน 

"แคนาดามีนโยบายสนับสนุนผู้หญิง ถ้าเรามีความสามารถจะไม่โดนปิดกั้นอะไรมาก และจะได้โอกาสทางการทำงาน เช่น ถ้าผู้หญิงและผู้ชายสมัครงานด้วยกัน และมีความเก่ง หรือความชำนาญ เท่ากัน เขาจะเลือกผู้หญิงก่อน เป็นการให้โอกาสความเท่าเทียม ซึ่งสังคมที่พัฒนาแล้วจะเป็นสังคมที่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่ากัน" 

เมื่อเป็น "คู่แล้วย่อมไม่แคล้ว" ทั้งที่อยู่ไกลกันคนละซีกโลก ในระหว่างที่รัตนวดีเดินทางกลับมาประเทศไทย เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ "เลขานุการเอกสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย" 
เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ในขณะที่เธอนั้นกลับมองเขาเป็นเพียงเพื่อน แต่ด้วยความจริงใจของนักการทูตหนุ่มก็ทำให้เธอแพ้ใจและตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกับเขาที่เดนมาร์ก 

จากนั้นไม่นานเธอก็เดินทางตามสามีไปประจำอยู่ที่ประเทศเวียดนาม แล้วก็ต้องแยกกันอยู่ถึง 2 ปี เมื่อสามีได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นทูตประจำประเทศอิรัก ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีสงครามกลางเมือง ทูตอเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ก ตกเป็นเป้าที่มีความเสี่ยงระดับสูงสุด 

และก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องไปประสบพบเจอเมื่อเดินทางไปเยี่ยมสามีที่กรุงแบกแดด 

"ท่านทูตมีการ์ด 25 คนคอยดูแล ส่วนดิฉัน แม้ไปแค่ครั้งเดียว ก็ต้องใส่เสื้อเกราะ ใส่หมวกกันกระสุน ติดวิทยุ ใส่ถุงมือกันความร้อน นั่งในรถกันกระสุน หรือแม้แต่ที่สถานทูตก็ต้องมีม่านกันกระสุน ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก"

แม้จะต้องไปเผชิญกับประสบการณ์ "เสี่ยง" แต่ก็ "คุ้มค่า" 

"ท่านทูตมีผลงานดีมาก รัฐบาลต้องการอะไร ท่านสามารถทำได้ เมื่อทำผลงานได้ดีแม้จะอยู่ในที่อันตราย จึงได้รับโอกาสให้เลือกประเทศใหม่ที่จะไปอยู่" 

คำตอบ คือ ประเทศไทย

"ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้มากันง่ายๆ ต้องเป็นคนตำแหน่งใหญ่หรือคนที่มีอายุมากแล้ว ถึงจะได้มา คุณมิคเคลเป็นทูตคนแรกที่อายุน้อยที่สุดเพียง 49 ปี ที่มาเมืองไทย" 

มาดามรัตนวดีเล่าว่า คนไทยต้องภูมิใจ ที่ประเทศของเราใครๆ ก็อยากมาอยู่ นักการทูตตะวันตกแย่งกันมาเมืองไทย อย่างเดนมาร์ก ไทยเป็นอันดับที่ 2 รองจากนิวยอร์ก หรือที่เยอรมนี มีคนยื่นใบสมัครขอมาเป็นทูตที่เมืองไทยครั้งละ 60-80 คน 

"ประเทศเรามีทุกอย่าง ทั้งความสะดวกสบาย การบริการ อาหารการกิน สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เราเป็นฮับของทุกอย่าง" 

เมื่อเป็นคนไทย แต่มาอยู่ประเทศไทยในฐานะ "มาดามแอมบาสเดอร์ เดนมาร์ก" 

"มีหลายคนเคยล้อดิฉัน หญิงไทยหัวใจเดนมาร์ก" บอกพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนอธิบายว่า 

"เราเป็นคนไทยอยู่ที่ไหนก็เป็นคนไทย การมาอยู่ที่นี่เหมือนการพบกันครึ่งทาง อะไรเป็นข้อดีของเมืองไทยดิฉันยึดถือ และอะไรที่เป็นข้อดีของเดนมาร์กดิฉันนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์กับประเทศ อะไรที่ทำให้เราสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็อยากจะทำให้ดีที่สุด" 

ด้วยความที่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องมีงานทำเสมอ และที่ประเทศไทย เธอเคยดำรงตำแหน่งประธานจัดงานออกร้านภริยาทูต โดยรายได้จากการจัดการมอบให้สภากาชาดไทย ล่าสุดกับตำแหน่ง "ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย มูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย" 

"งานของเราคือการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับเด็ก ซึ่งเราได้ทุนจากหลายภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ มาทำโครงการในโรงเรียนให้เด็ก และครู เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สร้างจิตสำนึกของการใช้หมวกกันน็อก นอกจากนี้ จะเน้นไปที่คนรุ่นใหม่ โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ ให้เด็กรุ่นใหม่มองหมวกกันน็อกให้ดูน่ารักสดใสไม่น่าเบื่อ"
ขณะนี้กำลังเจรจากับโรงเรียนในสังกัดสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเข้าไปรณรงค์เบื้องต้นนำร่อง 30 โรงในกรุงเทพฯ 

"ได้มาทำโครงการนี้ถือเป็นโอกาสดี เพราะตอนนี้เป็นภริยาทูต แทนที่จะเป็นแม่บ้าน มาช่วยทูตเราคนเดียว ซึ่งปัญหาคนที่เสียชีวิตบนถนนในประเทศไทยมีเยอะมาก อันดับ 2 ของโลก มันไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ แต่เป็นสิ่งที่ควรตระหนัก และทุกคนควรจะร่วมกันแก้ไข"

และการทำงานทดแทนคุณแผ่นดินแม่ก็เป็น "ที่สุดในชีวิต" ของเธอ 

"การได้มีโอกาสได้ใช้ความเป็นภริยาทูต ทำอะไรคืนให้กับคนไทย เป็นสิ่งที่มีความหมาย การรณรงค์ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการมากที่สุด เพราะคนไทยเสียชีวิตมาก ปัญหานี้เป็นปัญหาของคนจนมากกว่าคนรวย อยากให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี มันเป็นที่สุดในชีวิตของดิฉัน มีความสุขที่ได้ทำและมีความสุขที่สามีสนับสนุน" ว่าพลางก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส



ครอบครัวศิลปิน


ถือว่าเป็นครอบครัวที่รักศิลปะมากๆ ท่านทูตมิคเคล วินเธอร์ หลงรักการเล่นดนตรีและขับฮาร์เล่ย์ เดวิดสันเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันเกิดของภริยา ท่านทูตมักจะแต่งโคลงให้เป็นของขวัญทุกปี อีกทั้งยังเคยแต่งเพลงที่มีเนื้อหาทำนองว่า "เธอผู้เป็นกำลังใจ" ให้กับมาดามด้วย 

ขณะที่ มาดามรัตนวดีก็ชอบการเขียนหนังสือและวาดรูป แม้จะเพิ่งหัดวาดได้ปีกว่า แต่ฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว 

เธอบอกว่า การวาดรูปเป็นความสุขที่ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/