วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ซูเปอร์นางแบบโลก"ไม่อาย ให้นมลูกขณะเมคอัพ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่า จีเซล บุนเช็น ซูเปอร์โมเดลระดับโลก 
สร้างความฮือฮาเมื่อเธอให้นมลูกสาว ขณะที่เธอกำลังรับการเมคอัพ เพื่อถ่ายแบบ 
เมื่อเร็ว ๆ นี้ และถือพฤติกรรมที่เป็นการสนับสนุนการรณรงค์ให้นมลูกกลางที่สาธารณะ

รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกเป็นภาพอินสตาแกรมของยอดนางแบบดัง 
แสดงให้เห็นจีเซล กำลังให้นม"วิเวียน"ลูกสาววัย 1 ขวบของเธอ ขณะที่เธอรับการเมคอัพ 
ทาเล็บ และทำผม เพื่อถ่ายแบบชุดชั้นในใหม่ค่าตัวหลายล้านปอนด์ โดยยอดนางแบบ
อยู่ในสภาพให้นมลูกสาวอย่างผ่อนคลายสบาย ๆ ไม่เครียด 

ขณะที่เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความว่า เธอคงทำอะไรไม่ได้หากไม่มีทีมเมคอัพนี้
 หลังจากที่เธอต้องบินนานกว่า 15 ชม.และได้หลับแค่ 3 ชม.ขณะที่สื่อรายงาน
ชื่นชมว่า เหตุการณ์นี้อาจถือได้ว่า จีเซล เป็นอีกคนหนึ่งที่สนับสนุนการให้นมลูก
ต่อสถานที่สาธารณะ

ก่อนหน้านี้ จีเซล ยังได้เผยภาพชีวิตส่วนตัวของเธอ โดยเฉพาะเคล็ดลับการรักษาหุ่น
ของเธอ โดยโพสต์ภาพตัวเธอกำลังเล่นโยคะ และภาพเธอกับวิเวียนลูกสาว พร้อมทั้ง
ขอบคุณป้าของเธอที่ถ่ายรูปเธอคู่กับลูกสาวในโอกาสพิเศษให้ ทั้งนี้ จีเซล ปัจจุบัน 
อาศัยอยู่ในเมืองลอส แองเจลิส ของสหรัฐ เธอแต่งงานกับทอม เบรดี้ ซูเปอร์สตาร์
นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล มีลูกสองคน คือ เบนจามิน ลูกชาย วัย 4 ปี และวิเวียน

ข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th และภาพจาก  http://www.manager.co.th

สัตวแพทย์เกษตรสุดเจ๋ง! ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในหัวใจสุนัขสำเร็จครั้งแรกในไทย


สุนัขพันธุ์ชเนาเซอร์ เพศเมียทำหมันแล้ว 
อายุ 14 ปี มารับการรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ 
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
บางเขน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 ด้วย
อาการเป็นลมในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา 
และถี่ขึ้นเรื่อยๆ สุนัขได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค
ซิกไซนัสซินโดรม (Sick sinus syndrome)
เป็นความผิดปกติของระบบ cardiac conduction 
system ซึ่ง sinus node ที่อยู่บริเวณหัวใจ
ห้องบนขวา มีการทำงานผิดปกติ โดยส่งสัญญาณ
ไฟฟ้าออกมาช้าบ้าง เร็วบ้าง ทำให้หัวใจเต้นช้า-เร็ว ไม่สม่ำเสมอ  ส่งผลให้ปริมาณ
เลือดและความดันเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  
สัตว์ป่วยจึงแสดงอาการอ่อนแรงเป็นลมและหมดสติ  เนื่องจากความดันเลือด
ไม่เพียงพอ สาเหตุการเกิด sick sinus syndrome นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบ
แน่ชัด แต่มีรายงานในสุนัขว่าพันธุ์ที่มีโอกาสพบได้มากหรือเป็นปัจจัย
โน้มนำ ได้แก่ สุนัขพันธุ์ West Highland whites terrier , พันธุ์ Miniature 
schnauzer และ พันธุ์ Cooker Spaniels. 

รศ.สพ.ญ.อมรรัตน์ ศาสตราวาหา ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิก
สัตว์เลี้ยง คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
หัวหน้าทีม พร้อมด้วยทีมงานประกอบด้วย รศ.น.สพ.ดร.นริศ 
เต็งชัยศรี ผศ.น.สพ.ดร.จตุพร หนูสุด อ.สพ.ญ.ดร.สิริรัตน์ 
นิยม อ.สพ.ญ.ทักษอร ดวงอุไร น.สพ.วิจิตร สุทธิประภาและ 
นอ.นพ.เกรียงไกร จิรสิริโรจนากร ที่ปรึกษา ได้ร่วมกันรักษา
โดยใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจในสุนัขหัวใจเต้นผิดปกติ สำเร็จเป็นครั้งแรก
ในประเทศไทย

หัวหน้าทีม เปิดเผยว่า การวินิจฉัยสัตว์ป่วยที่มีปัญหาเรื่องหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น 
โดยปกติสัตวแพทย์จะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography, ECG) 
 แต่หัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภทเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ และหายไป ทำให้ไ
ม่สามารถตรวจพบได้ สัตวแพทย์อาจต้องเครื่องมือที่เรียกว่า Holter monitor 
เป็นเครื่องมือช่วยบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยเจ้าของ
สัตว์จะช่วยบันทึกว่าสัตว์ป่วยทำกิจกรรมอะไรอยู่และแสดงอาการ หรือ มีความ
ผิดปกติใด ณ เวลาใด  จากนั้นนำมาเทียบกับบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ได้เพื่อดูว่า
มีความสัมพันธ์กันหรือไม่  ในสัตว์ คือสุนัขและแมว เราทำได้แค่ติด holter monitor 
แต่ยังไม่สามารถทำการตรวจระบบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจได้ (Cardiac
 Electrophysiology Study) 

โรคซิกไซนัสซินโดรม (Sick sinus syndrome) 
ในสัตว์ป่วยรายนี้มาด้วยอาการเป็นลมหมดสติ และ    
ถี่มากขึ้นใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา  เนื่องจากสัตว์ป่วย
ไม่ตอบสนองต่อการทำ atropine test และสัตว์
ป่วยแสดงอาการเป็นลมก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับ
ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในขณะสัตว์ป่วยมีอาการ
นั้นชัดเจนมาก จึงไม่จำเป็นต้องการติด Holter 
monitor และ เมื่อไม่ตอบสนองต่อ atropine test  
ทีมงานจึงตัดสินใจฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)  
เป็นการฝังเครื่องมือเล็ก ๆ ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณลำคอ
ด้านขวาของสัตว์ป่วย  และสอดสายนำไฟฟ้าไปยังหัวใจ ผ่านหลอดเลือดดำ jugular 
และไปติดที่ผนังหัวใจห้องล่างขวา  เครื่องจะทำการตรวจจับจังหวะการเต้นของหัวใจ
สายนำไฟฟ้าจะเป็นตัวควบคุมและกระตุ้นให้หัวใจเต้นตามอัตราที่กำหนด  สัตว์ป่วย
รายนี้ตั้งที่ 70-170 ครั้งต่อนาที  ในการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ครั้งนี้ 
เราได้ เชิญ นาวาอากาศเอก เกรียงไกร จิรสิริโรจนากร อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน
กระแสไฟฟ้าในหัวใจ  มาเป็น ที่ปรึกษา ผลการรักษาก็เป็นที่น่าพอใจมาก โดยทาง
คณะสัตวแพทย์ ทีมที่ดูแลสัตว์ป่วยได้ติดตามอาการใน 24 ชั่วโมงแรก  

หลังจากนั้นได้ติดตามอาการกับเจ้าของ พบว่าสุนัขแข็งแรงดี ไม่มีการเป็นลมหมดสติ
และวันรุ่งขึ้นได้ตรวจสุขภาพพบว่าสุนัขดูดี ไม่มีการเป็นลมหมดสติใด ๆ ทำการตรวจ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจพบอัตราการเต้นหัวใจ 80 ครั้งต่อนาที เป็นของเครื่องกระตุ้นหัวใจ 3 ครั้ง 
และของสุนัขเต้นเอง 1 ครั้ง  ซึ่งถ้าไม่ได้ทำการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ สัตว์ป่วยอาจ
เสียชีวิตได้   หลังจากนั้นเราทำการติดตามใน 7 วันต่อมา พบว่า โดยรวมทุกอย่างดีมาก 
ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ บริเวณที่ฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจไม่มีอาการบวมเลือดคั่ง
 (hematoma)   แต่สุนัขแสดงอาการสะบัดคอบ่อยอาจจะเกิดจากความรำคาญ แต่ได้
กำชับเจ้าของและทำการพันคอไม่ให้สุนัขขยับคอมากเพราะสายอาจจะเลื่อนหลุดได้

นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยทีมสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ในการรักษาสุนัขที่หัวใจเต้นผิดปกติได้สำเร็จ

ภาพและข้อมูลจาก  http://www.matichon.co.th/

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การแสดงศิลปะเงา (The shadow performance) จาก Britain's Got Talent 2013




จากการประกวด ของรายการ Britain's Got Talent 2013  ชื่นชอบการแสดง
แสงและเงา  (The shadow performance) ของทีม Attraction จากประเทศ
ฮังการี ตั้งแต่ครั้งแรก เลยละ มาดูคลิปตอน auditionกันดีกว่านะ




และพวกเขาก็สามารถผ่านเข้ารอบ semifinal ได้






ทำให้เขาเข้าสู่รอบfinal และได้เป็น the winner ในที่สุด


 เรามาดูคลิปสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาได้เป็น The Winner 








ข้อมูลจาก http://www.youtube.com

หนุ่มจีน ร่อนไพ่ ตัดผัก ผลไม้ แทนมีด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เย่ ถงซิน ชายชาวจีนวัย 48 ปี ต้องการทำลายสถิติลงกินเนสบุ๊ก 
โดยการใช้ไพ่ตัดผัก ผลไม้ โดยใช้เวลาฝึกมานานกว่า 10 ปี

ทั้งนี้ เขาใช้เวลาความเร็วราว 50 เมตรต่อครึ่งวินาที หรือเทียบเท่ากับ 360 กม.ต่อชม. ในการร่อนไพ่
แต่ละใบไปที่จุดหมายสามารถตัดแตงกวาได้ 12 ลูก ภายในเวลา 47.2 วินาที

เขาใช้เวลาก่อนอนทุกคืน ขว้างไพ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสามารถใช้ไพ่เฉาะแอปเปิลหรือ
กระทั่งแตงโมได้อย่างง่ายดาย





ข้อมูลจาก http://www.youtube.com



วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

'อัลฟา' จักรยานกระดาษแข็งเพื่อโลกสีเขียว


จักรยานเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะ
นอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหารถติดได้แล้ว ยังสามารถลดมลพิษ
ให้แก่โลกได้ และในวันนี้มีจักรยานรูปแบบใหม่เกิดขึ้น โดยทำมาจาก
กระดาษแข็งทั้งคัน อีกทั้งยังมีราคาถูกอีกด้วย 

ในปัจจุบัน มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเทคโนโลยีสีเขียว
เพื่อสิ่งแวดล้อม แต่นวัตกรรมเหล่านั้น มักประสบกับปัญหาในเรื่องของราคา
ที่ค่อนข้างสูง ทั้งกระบวนการผลิตและการขายต่อไปยังผู้บริโภค อีกทั้งยังไม่มี
ใครสามารถรับประกันได้ว่า ในอนาคตเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีราคาที่ถูกลงจริงหรือไม่ 


แต่วันนี้ ได้มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น ที่สามารถเชื่อมปัจจัยของเทคโนโลยีสีเขียว
คุณภาพสูงและต้นทุนการผลิตที่ต่ำเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือนวัตกรรมการผลิต
จักรยานที่ทำจากกระดาษแข็ง โดยไอเดียนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจาก นายอิซซาร์
 กาฟนี่ ชาวอิสราเอลวัย 50 ปี ผู้มีนิสัยรักการปั่นจักรยาน และมีความคิดที่
จะนำกระดาษแข็งมาสร้างเป็นจักรยานของตน 



จักรยานดังกล่าวถูกผลิตขึ้นจากวัสดุรีไซเคิลร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจาก
เบรกและโซ่แล้ว ทุกส่วนของจักรยานซึ่งหมายรวมถึงเบาะรองนั่งก็
ทำมาจากกระดาษแข็งทั้งสิ้น 


แต่ทว่าจักรยานแนวใหม่ที่มีชื่อว่า 'อัลฟา' นี้ แข็งแรงและทนทานกว่าที่คิด
 เนื่องจาก กาฟนี นำกระดาษแข็งซึ่งเป็นกระดาษรีไซเคิลมาพับซ้อนกันหลายชั้น 
ก่อนเคลือบด้วยเรซินอย่างดี จึงทำให้ 'อัลฟา' นอกจากจะสามารถรองรับน้ำหนัก
ผู้ขี่ได้สูงสุดถึง 220 กิโลกรัมแล้ว ยังทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ว่า
จะเป็น แดด ลม ฝน แถมยังมีน้ำหนักเบาเพียง 9 กิโลกรัมเท่านั้นอีกด้วย 


และด้วยราคาเพียงแค่ 9 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
300 บาท ทำให้จักรยานกระดาษแข็งคันนี้ เป็นนวัตกรรมจาก
เทคโนโลยีสีเขียวที่สามารถก้าวผ่านกำแพงแห่งราคาไปได้ 
โดยนักธุรกิจมองว่า นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง
ครั้งยิ่งใหญ่ ในการเลือกใช้วัสดุต้นทุนต่ำจากกระดาษแข็งเข้ามา
แทนที่วัสดุต้นทุนสูงอย่างเหล็กหรือโลหะ และจักรยานกระดาษ
แข็งคันนี้ อาจเป็นต้นแบบให้แก่เรือกระดาษแข็ง หรือ รถยนต์
กระดาษแข็งต่อไป


อย่างไรก็ตาม จักรยานเป็นพาหนะที่มีอิสระและไม่เคยสร้างมลพิษ 
แต่จะดีกว่าไหมหากเลือกใช้จักรยานที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่กระบวนการผลิต วันนี้ กาฟนี่ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า 
เทคโนโลยีสีเขียวที่มีราคาต่ำแต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ ยังผลิตได้
และสามารถใช้งานได้จริง

ภาพโดย พรชัย สังเวียนวงศ์
ที่มาภาพและคลิปจาก
และข้อมูลจาก http://board.postjung.com/

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สาวตัดต่อสุดทนเจ้านาย ครีเอทวีดีโอถ่ายตัวเองเต้น แทนใบลาออก !!


เพียง 5 วัน ยอดวิวของ Marina Schifrin พนักงานตัดต่อวีดีโอบริษัทแห่งหนึ่ง ทะลุไปที่  7ล้านวิวแล้ว เป็นวีดีโอแทนการยื่นใบลาออกสุดแหวกแนว เหตุที่ทำอย่างนี้เธอว่าเธอรู้สึกผิดหวังกับเจ้านาย สิ่งที่เธอทำคือเต้น เต้น และเต้นไปรอบๆออฟฟิศ พร้อมกับข้อความที่ค่อยๆ ปรากฎบนวีดีโอ


ข้อความว่า

ฉันมาทำงานตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ทำงานให้กับบริษัทสุดเจ๋งผลิตวีดีโอ

เกือบ 2 ปี ฉันได้อุทิศความสัมพันธ์ เวลา และพลังงานให้กับงานนี้

และเจ้านายของฉันแคร์แค่ "ปริมาณ" และ "ได้กี่ยอดวิว"

ฉันเลยคิดทำวีดีโอของตัวเอง ให้เจ้านายรู้บ้าง ว่าฉันเลิกทำละ และ ลาก่อน


ในบล็อคของเธอเขียนอธิบายตนเองว่า มาจากนิวยอร์ก และได้งานบริษัทอนิเมชั่นที่ที่จะได้มีอิสระในการเขียนมุขตลก และยังใส่ความเป็นตัวเองในข้อเขียนได้อีกด้วย ช่างเป็นงานที่วิเศษอะไรเช่นนี้ ฉันได้พบงานที่จะผสมผสานความขำขันกับนักหนังสือพิมพ์ ฉันเคยมีสิ่งดีๆ ที่พร้อมจะกระโจนลงไปทำอย่างเต็มความสามารถ

ฉันลดการทำอะไรต่างๆ ลง เพื่องานๆนี้ ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการหาคำพาดหัวที่ยอดเยี่ยม ทั้งเสียงพากษ์ และเรื่องราวต่างๆ 

แต่กลับเป็นภาระงานที่มากขึ้น เข้างานเร็ว อยู่นาน ทำงานสุดสัปดาห์ ก็เลยเข้าไปพูดกับเจ้านายว่าฉันรู้สึกอะไรบ้าง

"ทำให้ทันกำหนด ไม่ต้องมาอาร์ต" คือคำตอบของเจ้านาย
  
คำตอบนี้น่าจะเป็นที่มาของใบลาออกสุดอาร์ตของเธอเช่นกัน



(ที่มา : เดลี่เมล์) 
ข้อมูลจาก http://www.youtube.com และ http://www.matichon.co.th/

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เจลห้ามเลือดภายในจากข้าวเจ้าคว้าสุดยอดนวัตกรรมข้าว

              แผ่นเจลห้ามเลือดภายในร่างกายจากข้าวเจ้าคว้าสุดยอดนวัตกรรมข้าวปี '56 
ด้านวิสาหกิจชุมชนจากพะเยาส่ง "ข้าวกล้องลืมผัว" อบกรอบคว้ารางวัลระดับชุมชน 
ด้านเลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยชี้มีหลายช่องทางเพิ่มมูลค่าข้าวมากกว่าขนเป็นเกวียนลงเรือ
       

                                                       แผ่นเจลกรดห้ามเลือดจากแป้งข้าวเจ้า



       มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 
หรือ สนช. แถลงผลประกวดนวัตกรรมข้าวไทย ประจำปี 2556 เมื่อวันที่ 30 ก.ย.56 ณ โรงแรม
พูลแมน บางกอก คิงพาวเวอร์ โดยเป็นการประกวดนวัตกรรมข้าวที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว
       
       สำหรับการประกวดนวัตกรรมข้าวนั้น ดร.ขวัญใจ โกเมศ เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยฯ แจงว่า
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ระดับอุตสาหกรรม และระดับวิสาหกิจชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบ
และเสียเปรียบในการแข่งขัน
       
       รางวัลระดับอุตสาหกรรมนั้น แผ่นเจลข้าวกรดห้ามเลือด "ข้าววรางกูร" จากบริษัท บุณยนิตย์
วัสดุการแพทย์ จำกัด คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 โดยเป็นแผ่นเจลที่ได้จากแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ 
นำมาดัดแปลงโครงสร้างทางกายภาพให้เป็นเจล และเพิ่มสารเติมแต่งให้มีฤทธิ์เป็นกรดเมื่อ
สัมผัสของเหลวภายในร่างกาย ทำให้ห้ามเลือดระหว่างผ่าตัดได้รวดเร็ว และย่อยสลายได้
ในร่างกาย
       
       ส่วนรางวัลอื่นๆ ในประเภทระดับอุตสาหกรรม ได้แก่ แป้งรำข้าว "คิง" ที่มีกากใยอาหารสูง 
เหมาะแก่การทดแทนแป้งสาลีและแป้งข้าวเจ้า จาก บริษัท น้ำมันบริโภทไทย จำกัด คว้ารางวัล
อันดับ 2 และลิปสติกอินทรีย์จากน้ำมันรำข้าวและไขรำข้าว "VOWDA" จาก บริษัท โป๋วเอวี๋ยน
 จำกัด คว้ารางวัลอันดับ 3
       
       สำหรับรางวัลระดับวิสาหกิจชุมชน ข้าวกล้องลืมผัวอบกรอบพร้อมทาน "i Rice" จากวิสาหกิจ
ชุมชนกลุ่มชาข้าวก่ำ (ข้าวลืมผัว) คว้ารางวัลชมเชย และเป็นผลงานเดียวที่ได้รางวัลในประเภทนี้
       
       ดร.ขวัญใจกล่าวว่าอยากให่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งประกวดมากกว่านี้ โดยจุดแข็งที่สุดของ
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคือด้านอาหาร แต่อยากให้พัฒนาสู่เชิงพาณิชยได้ พร้อมทั้งกล่าวว่า
นวัตกรรมข้าวเหล่สนี้เป็นตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าข้าวที่มากกว่าการส่งขายขึ้นเรือเป็นเกวียน
       


ภาพและข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/

นวัตกรรมใบมีดชาวสวนยางยืดอายุต้นได้ถึง 50 ปี



         เขาทำสวนยางมา 14 ปี พบปัญหาว่าต้นยางพาราเสียหาย ผิวหน้าปูด-นูน เป็น
ตะปุ่มตะป่ำ อันเป็นผลมาจากมีดที่ใช้กรีด เขาจึงหาไอเดียในการปรับปรุงใบมีด
กรีดยางที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว จนได้ใบมีดที่กรีดยางได้บาง ซึ่งจะช่วยยืดอายุ
ต้นยางได้ถึง 50 ปี 
       
       มะนายิ ราหู ชาวสวนยางพาราจาก จ.นราธิวาส เผยว่าการกรีดยางที่ดีต้องกรีดให้บาง 
หากกรีดกระทบ "เยื่อเจริญ" ของต้นยาง จะทำให้ "หน้ายาง" เกิดไม่ดี เป็นตะปุ่มตะป่ำ 
ปูด-นูน ซึ่งจุดด้อยของมีดเก่าคือต้องเอียงคอเวลากรีด และกินเปลือกไม้หนาถึง 3-4 
มิลลิเมตร ทำให้อายุในการกรีดต้นอย่างสั้นเหลือเพียง 25 ปี
       
       จากปัญหาดังกล่าวเขาจึงออกแบบใบมีดกรีดยางแบบใหม่ ซึ่งใช้เวลาลองผิดลอง
ถูกถึง 7 ปี จนได้มีดกรีดยางที่สามารถเปลี่ยนใบมีดได้ และกรีดยางได้บางเพียง 
1 มิลลิเมตร อีกทั้งควบคุมความลึก-ตื้นในการกรีดลงเปลือกต้นยางได้คงที่โดย
ไม่ต้องออกแรง ซึ่งจะช่วยยืดอายุต้นยางได้ถึง 50 ปี
       
       "จะเริ่มกรีดยางได้เมื่อต้นยางมีเส้นรอบวงยาว 50 เซ็นติเมตร ปกติจะเริ่มกรีดที่
ความสูง 150 เซ็นติเมตรลงมา ซึ่งต้นยาง 1 ต้นจะแบ่งหน้ากรีดเป็น 3 หน้า เมื่อกรีด
ไปถึงหน้าที่ 3 หน้ายางแรกที่ถูกกรีดไปก็จะเริ่มเกิดใหม่ โดยจะใช้เวลา 3-4 ปีในการ
เกิดใหม่ แต่ถ้าเริ่มกรีดไม่เรียบ ผิวหน้าที่เกิดใหม่ก็จะปูด-นูน ทำให้กรีดไม่ได้" มะนายิกล่าว
       
       แนวคิดในการออกแบบใบมีดกรีดยางแบบใหม่นั้น ผสมผสานรูปแบบของมีด
กรีดยางแบบเก่า กับใบมีดโกนหนวดและกบไสไม้ที่สามารถปรับองศาการกรีดได้ 
และผลจากการทดลองใช้ใบมีดของเกษตรกรสวนยาง พบว่าสามารถกรีดหนายาง
ได้ยาว 24 นิ้ว โดยใช้เวลานานขึ้นเป็น 3 ปี ขณะที่ใบมีดแบบเก่าใช้เวลาแค่ 1 ปี
 แต่กรีดเป็นทางยาวไปแล้วถึง 24 นิ้ว โดยใบมีด 1 ใบ กรีดได้ 2,000 ต้น
       
       ผลงานคิดค้นของมะนายิที่ปรับปรุงใบมีดมากว่า 10 แบบ เพิ่งได้รับรางวัล
ชนะเลิศการออกแบบเชิงนวัตกรรม ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ประจำปี 2556 
จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และมีความร่วมมือกับ บริษัท 
แอดวานซ์คิว จำกัด ในการผลิตและจัดจำหน่าย

ภาพและข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th/

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

เด็กไทย 11 ขวบ น้องธนัช สร้างชื่อ-อัจฉริยะโลก

                    

เด็กไทยทำชื่อเสียงระดับอินเตอร์ ′โม สาร์ทน้อย′ ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี อายุ 11 ขวบ
มีชื่อติดโผ 15 สุดยอดเด็กอัจฉริยะของโลก จากการจัดอันดับโดยเว็บการศึกษาชื่อดัง
ของสหรัฐ คุณพ่อคุณแม่เผยปัจจุบันทักษะของลูกก้าวไกลมาก โดยเฉพาะสายวิทย์
และคอมพิวเตอร์ ทั้งยังไปร่วมทำงานวิจัยกับนักวิชาการของสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ
 คณบดีวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ชี้ในอนาคตอาจเป็นคนไทยคนแรกที่พิชิตรางวัลโนเบล
ด้าน ′ธนัช′ หนูน้อยจีเนียสเปิดใจตั้งความหวังว่าสักวันจะคิดค้นบางสิ่งบางอย่าง
ที่เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติสำเร็จ
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า เว็บไซต์จัดอันดับการศึกษา
ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา thebestschools.org (เดอะเบสต์สคูลส์) ประกาศผลจัดอันดับ
เด็กก่อนวัยรุ่นที่มีความสามารถพิเศษระดับอัจฉริยะทั่วโลก 15 คน มีชื่อ "โมสาร์ทน้อย"
 ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี เด็กอัจฉริยะชาวไทยติดโผอยู่ด้วย

สำหรับเด็กที่ได้รับการจัดอันดับ 15 คนในปี 2556 นี้เป็นเด็กอเมริกัน 6 คน อังกฤษ 4 คน
และไทย ออสเตรเลีย ฮ่องกง เคนยา มอลโดวา ประเทศละ 1 คน แต่ละคนมีความสามารถ
พิเศษระดับสูงในสาขาแตกต่างกัน เช่น ศิลปะ ดนตรี วิชาการ ฯลฯ

เว็บเดอะเบสต์สคูลส์ บรรยายเรื่องราวความพิเศษโดยสรุปของเด็กอัจฉริยะทั้ง 15 คน
พร้อมคำพูดประกอบของเด็กๆ และในส่วนของด.ช.ธนัช เว็บไซต์ระบุไว้ว่ามีผลงาน
ภาพเขียนแนวแอ๊บสแตร็กขายไปทั่วโลก แสดงเดี่ยวไวโอลินตั้งแต่อายุแค่ 4 ขวบ
นอกจากนี้ ยังมีทักษะด้านกีฬากอล์ฟและศิลปะการต่อสู้ ขณะนี้พ่อแม่ทำหน้าที่เป็น
ครูผู้สอนเองที่บ้าน ส่วนคำพูดของด.ช.ธนัชที่ทางเว็บระบุไว้ใต้รูปภาพ คือ "คำถาม
ที่ผมถูกถามบ่อยๆ คือโตขึ้นจะเป็นอะไร เป็นคำถามยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ว่าเราจะ
เลือกอะไร เราก็จะต้องผูกมัดกับสิ่งนั้นไปทั้งชีวิต ผมจึงระมัดระวังก่อนจะตอบออกไป"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า "น้องธนัช" ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี อัจฉริยะเด็กไทย
มีความสามารถพิเศษหลากหลายทั้งศิลปะ ดนตรี และวิชาการ ปัจจุบันอายุ 11 ขวบ
มีชื่อเสียงตั้งแต่วัย 3 ขวบ สามารถจัดนิทรรศการเดี่ยววาดภาพสีน้ำในแนวนามธรรม
หรือ แอ๊บสแตร็ก ประกาศขายไปทั่วโลกหลายพันชิ้นจนได้รับฉายา "ปิกัสโซ่น้อย"
และเคยเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกจากคลิปในเว็บยูทูบโชว์ฝีมือสีไวโอลิน ขณะอายุ
 4 ขวบ จนมีผู้คลิกเข้าไปชมกว่า 7 ล้านครั้งภายในเวลาไม่กี่วัน กระทั่งได้รับฉายา
"โมสาร์ทน้อย" ล่าสุดยอดวิวคลิปดังกล่าวพุ่งขึ้นไปเกือบ 23 ล้านครั้ง

นอกจากนั้น ด.ช.ธนัชยังมีความโดดเด่นด้านวิชาการ ทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจ
นำออกจากระบบโรงเรียน เพื่อจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองในรูปแบบของแฟมิลี่ อคาเดมี
ซึ่งจัดการเรียนรู้ได้เฉพาะเจาะจงตรงตามศักยภาพผู้เรียน เปิดกว้างให้เรียนรู้ได้
ทั้งในแนวกว้างและลึกไร้ขีดจำกัด

นายธนู เปลวเทียนยิ่งทวี บิดาของด.ช.ธนัช เปิดเผยว่า เว็บเดอะเบสต์สคูลส์
แจ้งเข้ามาให้ทราบถึงการจัดอันดับดังกล่าว เมื่อราวกลางเดือนก.ย. 2556 ว่า
น้องธนัชติด 1 ใน 15 เด็กเก่งของโลก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่แสดงในเว็บไซด์
เป็นข้อมูลเมื่อ 2-3 ปีก่อน ปัจจุบันน้องธนัชก้าวล้ำไปมาก โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์
และคอมพิวเตอร์ ตนเห็นแววทางวิชาการของลูกตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือได้คล่อง
ด้วยตัวเอง ธนัชเป็นนักอ่าน อ่านเยอะ เร็ว จับใจความและจดจำได้ดี ชอบอ่าน
หนังสือที่มีสาระความรู้ ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี อ่านหนังสือ
ทุกแนวอย่างมีความสุข แม้แต่ตำราทางวิชาการจากต่างประเทศที่หนามากๆ
และหนักหลายกิโลกรัมก็อ่านได้สนุก

"ลูกชายเข้าโรงเรียนแบบเด็กทั่วไปตั้งแต่เตรียมอนุบาล พอถึงประถม แววทางวิชาการ
ชัดเจนขึ้นเมื่อไปสอบแข่งขันทางวิชาการวิชาวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ตอนอยู่ ป.2
สอบแข่งกับเด็กประถมต้นก็บอกให้แม่ช่วยซื้อหนังสือให้ เป็นหนังสือระดับป.3 ถึง ป.6
แล้วมานั่งอ่านเอง ทำแบบฝึกหัดเอง ปรากฏว่าสอบติดระดับเหรียญทองแดง หลังจากนั้น
ครอบครัวจึงส่งเสริมอย่างจริงจัง ให้โอกาสได้อ่านและมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น พอป.3
ได้เหรียญทอง" นายธนูกล่าว

ยอดคุณพ่อผู้เลี้ยงดูเด็กอัจฉริยะวัย 11 ขวบ ระบุว่า การที่ลูกชายไม่ต้องไปโรงเรียน
ทำให้มีเวลาเรียนรู้ในแต่ละวิชาอย่างเจาะลึก และมีโอกาสไปทำงานวิจัยกับ 2
มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย คือ 1. ร่วมงานวิจัย Riboflavin Binding Protein X-ray Crystallography ที่ภาคชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อย่าง
ต่อเนื่องอยู่เกือบ 5 เดือน กับรศ.ดร.จิรันดร ยูวะนิยม และ ดร.วรพจน์ อุณอนันต์
ภายใต้การสนับสนุน ส่งเสริมจากศ.ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น รองคณบดี คณะวิทยาศาสตร์
ม.มหิดล 2. งานวิจัยวิทยาการคอมพิวเตอร์ Computer Science ในการพัฒนา
แปลภาษามนุษย์ให้เป็นภาษาคอมพิวเตอร์จากหลายขั้นตอนให้เหลือเพียง
ขั้นตอนเดียว กับศ.ดร.ชิดชนก เหลือสินทรัพย์ ภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมจาก
ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"การทำงานวิจัยกับ 2 สถาบัน ทำให้น้องธนัชได้รับประสบการณ์ตรง ได้เห็นชีวิต
การทำงานของนักวิทยาศาสตร์ไทยว่าต้องทำงานทุ่มเทเพียงใดภายใต้งบประมาณ
และข้อจำกัดมากมายกว่าจะประสบความสำเร็จกับงานวิจัยแต่ละเรื่องล่าสุดเมื่อ
วันที่ 19 สิงหาคมธนัชได้รับเชิญจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ให้เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายในหัวข้อนวัตกรรมใหม่แห่งการเรียนรู้ ในศตวรรษ
ที่ 21 ด้วย" นายธนูกล่าว

พ่อน้องธนัช ระบุด้วยว่า ลูกยังมีความเป็นเด็กเช่นเดียวกับเด็กๆ ทั่วไปเป็นเด็ก
ที่เข้าสังคมได้ดี เราพยายามรักษาตรงนี้ไว้ แต่จะคุยกับเด็กรุ่นเดียวกันไม่ค่อยสนุก
เนื่องจากความสนใจของธนัชก้าวไปไกลกว่าเด็กทั่วไป แต่ถ้าได้คุยกับนักวิชาการ
ด๊อกเตอร์ หรือศาสตราจารย์ดูจะสนุกและมีความสุขมาก เหมือนต่อยอดความรู้

"ธนัชยังสนใจด้านกีฬา รักการออกกำลังกายโดยเล่นกอล์ฟจึงไม่ค่อยป่วย และชอบ
เชียร์นักกีฬาไทย ทั้งน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ รวมถึงล่าสุดทีมวอลเลย์บอลสาวไทย
นัดชิงชนะเลิศ น้องธนัชเชียร์แบบกระโดดตัวลอยโดยลืมว่ากำลังเจ็บเท้าอยู่ อาหาร
การกินจะกินตามปกติ แต่ไม่กินอาหารเผ็ด เราไม่ได้ให้กินอาหารเสริมหรือวิตามิน
ใดๆ เลย แต่ตอนนี้ห่วงเรื่องการนอนดึก เพราะเขาสนใจเรียนออนไลน์ซึ่งปัจจุบัน
เรียนสดแบบเรียลไทม์กับอาจารย์ใน 4 มหาวิทยาลัยดังของสหรัฐ คือ มหาวิทยาลัย
เอ็มไอที ฮาร์วาร์ดสแตนฟอร์ด และเบิร์กลีย์"

างวัชราภรณ์ เปลวเทียนยิ่งทวี คุณแม่ เผยสาเหตุที่ตัดสินใจนำด.ช.ธนัชออกจากระบบ
โรงเรียนว่า ตอนแรกคิดว่าโรงเรียนที่มีโครงการพัฒนาเด็กผู้มีความสามารถพิเศษ
จะเหมาะกับลูก แต่ค้นพบว่าพัฒนาการที่ก้าวหน้าของลูกล้วนมาจากศักยภาพของลูก
ผนวกกับการส่งเสริม ความทุ่มเทและใส่ใจจากที่บ้านทั้งสิ้น จึงตัดสินใจออกจากระบบ
โรงเรียนเมื่อจบ ป.3 เทอมต้นมาจดทะเบียนขอจัดการศึกษาโดยครอบครัวกับเขต
การศึกษาพื้นที่ ภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้ประเมินและรับรองผลการศึกษาของธนัช

"การเรียนของน้องธนัชใช้หลักสูตรกำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการเป็นแนวทางโดย
ผู้ปกครองออกแบบบูรณาการให้เหมาะสมเป็นการเฉพาะเจาะจงตามความชอบ
ความสนใจ ความถนัด และพัฒนาก้าวหน้าไปตามศักยภาพ หลังออกจากระบบ
โรงเรียนมาถึงขณะนี้ 3 ปีเต็ม วิชาการทั่วไปตอนนี้ศึกษาในระดับมัธยมต้นแต่หลายวิชา
เรียนก้าวหน้าไปถึงระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย" นางวัชราภรณ์กล่าว

ด้านด.ช.ธนัช ให้สัมภาษณ์ว่า ชอบระบบจัดการศึกษาแบบแฟมิลี่ อคาเดมี ที่คุณพ่อคุณแม่
จัดให้มาก เพราะวันหนึ่งๆ สามารถเรียนรู้ แสวงหา และทำอะไรที่อยากทำได้มากมาย
คุณแม่จะเป็นคนวางแผนในแต่ละวันว่าต้องเรียนอะไรบ้าง สลับกับการออกกำลังกาย
ซ้อมไวโอลิน เล่น หรือทำอย่างอื่นที่กำลังสนใจอยากเรียนรู้

ผู้สื่อข่าวถามถึงเพื่อนๆ และการใช้ชีวิตในสังคม เจ้าของฉายาโมสาร์ทน้อย กล่าวว่า
"ผมมีโอกาสดีมากที่ได้พบเพื่อนๆ มาจากที่ต่างๆ ด้วยวัย ประสบการณ์ และความสนใจ
หลากหลาย มีโอกาสเรียนรู้สังคมรอบตัว ทำให้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้มากกว่า
ผมจึงมีสังคมที่เปิดกว้างกว่าแค่เพื่อนในวัยเดียวกันที่จะพบตอนไปโรงเรียน ผมมี
เพื่อนเล่นตั้งแต่วัยเด็กกว่าไปจนถึงอายุมากกว่า แต่คนที่ผมชอบคุยด้วยส่วนใหญ่
จะอายุมากกว่า หลายท่านเป็นระดับศาสตราจารย์หรือรองศาสตราจารย์ที่เอ็นดูและ
กรุณาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์หลายๆ เรื่อง ช่วยย่นระยะเวลาการเรียนรู้
ผมนำสิ่งที่ได้จากท่านเหล่านั้นไปต่อยอดค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งความรู้อื่นๆ เช่น
ตำราหรืออินเตอร์เน็ต เมื่อผมเรียนรู้และฝึกฝนแล้วเจออุปสรรคปัญหาก็กลับไปหา
ท่านใหม่ ท่านจะชี้จุดให้ ผมก็เดินต่อได้"

เมื่อสอบถามถึงความรู้สึกที่มีรายชื่อเป็น 1 ใน 15 เด็กอัจฉริยะของโลกประจำปีนี้
ด.ช.ธนัชกล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติ แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จยังอีกยาวไกล
ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอีกมาก ทั้งลองผิดลองถูก สมหวังบ้าง ผิดหวัง
บ้างแบบคนธรรมดาทั่วไป เมื่อผิดหวังจะบอกตัวเองว่าไม่ใช่ความล้มเหลว เพียงแต่
ยังเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะฉะนั้นต้องก้าวเดินต่อไป และหวังอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่ง
จะสามารถคิดบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับมนุษยชาติได้

วันเดียวกันศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ย้อนเบื้องหลัง
การเปิดโอกาสให้ธนัชมาร่วมทำงานวิจัย ว่า รู้จักกับน้องธนัชเมื่อ 2 ปีก่อนในงาน
นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ขณะนั้นธนัชมาเล่นดนตรีและเข้าไปรับฟังบรรยายจาก
นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น เห็นว่ารับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แปลกใจว่าทำไมถึงมาฟังและ
ดูแล้วฟังอย่างรู้เรื่อง เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับคุณพ่อน้องธนัช ถึงความสนใจของเด็ก
ประกอบกับศ.ดร. ชิดชนก เหลือสินทรัพย์ นักวิชาการคณะวิทยาศาสตร์และวิทยาการ
คอมพิวเตอร์ พบว่าธนัชสนใจและฟังเข้าใจจึงหาโครงการให้ลองทำเพื่อหยั่งเชิงว่า
สามารถรับได้แค่ไหน สิ่งน่าสนใจคือเมื่ออ.ชิดชนก อธิบายด้วยภาษานักวิชาการ
น้องธนัชจดจำและสรุปประเด็นสิ่งต่างๆ ได้ดี เมื่อเจอกับผู้อื่นสามารถอธิบายเรื่อง
วิชาการในภาษาพูดธรรมดาที่คนฟังเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย

"ปัจจุบันธนัชทำโครงการวิจัยวิทยา ศาสตร์คอมพิวเตอร์กับศ.ดร.ชิดชนก ตอนนี้เรา
คุยไปถึงขั้นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลของไทย ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี น้องธนัชอาจ
เป็นความหวังเพราะมีทักษะหลายด้าน ด้านวิทยาศาสตร์ก็ทำได้ดี โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์ ถ้ามีเวลาอยากให้ทำต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องคอยระวังคือความรู้พื้นฐานใน
ระดับมัธยศึกษาที่แน่นจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะแล้วไม่ต้องเรียน ความรู้พื้นฐาน
ยังเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตามเด็กที่เรียนขนาดนี้และไม่ค่อยมีเพื่อน แต่กลับกลายเป็น
เด็กที่ร่าเริงมาก อัธยาศัยดี มีความสุภาพมาก นับว่าเป็นคุณลักษณะที่ดี" ศ.ดร.สุพจน์กล่าว

ข้อมูลจาก นสพ.ข่าวสด ภาพจาก http://www.prachachat.net

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

แพทย์ไทยได้"อิ๊กโนเบล"ในผลงานที่สะท้อนปัญหาชีวิตคู่



เมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรม
ตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีทีมแพทย์ไทยได้รับรางวัลอิ๊กโนเบล
หรือรางวัลล้อเลียนรางวัลโนเบล ประจำปี 2556 ในสาขาสาธารณสุข จากผล
งานการพัฒนาวิธีการผ่าตัดต่ออวัยวะเพศชายที่ถูกเฉือนทิ้ง ว่า ยอมรับว่าปัญหา
อวัยวะเพศชายถูกเฉือนทิ้งเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากปัญหาครอบครัว
 โดยเฉพาะกรณีคู่ครองหรือคู่รักนอกใจ และฝ่ายหญิงไม่พอใจแก้ปัญหาด้วยการเฉือน
อวัยวะเพศของฝ่ายชายทิ้ง แม้จะไม่มีการเก็บสถิติ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุมักปรากฏให้
เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ 
 
                     

"สิ่งที่ผู้ชายไทยส่วนใหญ่กลัวที่สุดคือ การถูกตัดอวัยวะเพศทิ้งให้เป็ดกิน จนกลายเป็น
เรื่องพูดคุยกันในกลุ่มผู้ชายกันอย่างสนุกปาก แต่พฤติกรรมแบบนี้ในต่างประเทศไม่มี
ปรากฏ จึงถือเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การที่ทีมแพทย์ไทยได้รับ
รางวัลนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะแสดงให้เห็นว่าทีมศัลยแพทย์ไทยมีความสามารถใน
การช่วยผ่าตัดต่ออวัยวะเพศคนไข้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนไข้กลับมามีชีวิตปกติได้
เหมือนเดิม เนื่องจากการผัดตัดต่ออวัยวะเพศหากทำได้เร็วที่สุดหลังการถูกเฉือนจะ
ทำให้แพทย์สามารถเย็บต่อได้สำเร็จทุกราย เพราะบริเวณดังกล่าวมีเส้นเลือดมาก"
นพ.ชลธิศกล่าว และว่า การที่ทีมแพทย์ไทยได้รับรางวัลอิ๊ก โนเบล สะท้อนว่าสังคม
ไทยยังมีปัญหาด้านนี้อยู่มาก ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงควรหันมาให้ความสำคัญ แก้ไขปัญหา
นี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะทำอย่างไรที่คู่หญิงชายเมื่อมีปัญหาครอบครัวจะไม่ลงเอยกัน
ที่การเฉือนอวัยวะเพศทิ้งอีก

ข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th และภาพจากอินเทอร์เน็ต