วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จากเด็กเกรด 1.45 สู่อาจารย์มหาวิทยาลัยในวัย 24 ปี

จากเด็กเกรด 1.45 สู่อาจารย์มหาวิทยาลัยในวัย 24 ปี


นี่แหละวัยรุ่น...
                จุดประสงค์ของบทความนี้ก็ไม่ได้
เพื่ออวดโอ้ตัวเอง ไม่ได้อยากเป็นตัวอย่างของใคร
..
เพราะคิดว่า
ยังดีไม่พอ แค่เพียงอยากแชร์ประสบการณ์
การก้าวข้าม
จุดที่ยากที่สุดในชีวิต..."วัยรุ่น"
                ย้อนไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ผมเป็นเด็ก ม.ปลาย
คนหนึ่ง โชคดีได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนที่เขาว่ากันว่าดีที่สุด
ในประเทศ แต่ตอนนั้น ผมก็ไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจกับมัน
เสียเท่าไหร่ หนำซ้ำ ผมไม่รู้ว่าความฝันคืออะไร รู้แค่ว่า
ทุกคนมีมัน อย่างน้อยก็เอาไว้ตอบคำถามคนรอบข้าง ชีวิตประจำวันของผมก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป เรามีกิจกรรม
ที่ซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน นั่นก็คือการตื่นไปเรียน เรียนที่โรงเรียนเสร็จก็มีเรียนพิเศษต่อ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะ
ว่าเรียนพิเศษมันจำเป็นหรือเปล่า แต่สังคมรอบข้างบีบให้ต้องของเงินแม่ทุกเทอม อย่างน้อยก็  4-5 พัน
เพื่อมาลงเรียนพิเศษ ซึ่งบางทีมันก็แพงกว่าค่าเทอมที่โรงเรียน
                ตอนม.ต้น เรียกได้ว่าผมอยู่แนวหน้าของห้อง เกรดอยู่ในระดับ 3.8-3.9 ทุกเทอม แต่พอมาม.ปลาย 
มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยความที่โรงเรียนที่รวมคนเก่งมาจากทั่วประเทศ มันทำให้ผมรับกับ
มาตรฐานที่สูงขนาดนี้ไม่ไหว สิ่งเดียวที่คิดตอนนั้นและยังจำได้คือ "โอโห..ทำไมพวกมันเก่งจังวะ" 
คณิตศาสตร์จัดอยู่ในระดับเทพ ภาษาอังกฤษนี่ไม่ต้องพูดถึงนึกว่าตอนเกิดร้อง Oh my god 555 ก็นั่นแหละครับ  
เขาเริ่มทิ้งห่างผมเรื่อยๆ กลายเป็นผมที่ไม่เข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน พอยิ่งเรียนไป ทุกคนก็สมมติว่าเข้าใจ
พื้นฐานมาแล้ว 
เนี่ยแหละครับ ปัญหาที่ใหญ่ของผม ณ ตอนนั้น มันทำให้ท้อและไม่อยากจะเรียนเลย
จนในที่สุดก็กลายเป็นเด็กท้ายแถว เด็กที่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่อยากได้มาดูแล ผู้ปกครองโดนเรียกให้มาหา 
แต่นั่น..ก็ไม่ได้ทำให้ผมสำนึกแต่อย่างไร วันๆ ก็ไม่ได้เรียนนะครับ โดดเรียนไปซื้อกล้วยทอดข้างโรงเรียน
 (เพราะอร่อยมาก ตรงหน้าโคคาสุกี้ ถนนอังรีครับ 555) หรือก็จะนั่งตุ๊กๆ มาพารากอนครับ หรือบางที
ก็หลับในห้องเสียอย่างนั้น เกรด ม.ปลาย ผมก็ 2.8-2.9 ขณะที่เพื่อนๆก็ 3.5+ กันหมด จนถึงตอน ม.6 
ผมย้ายสายจากวิทย์-คณิตเป็นสายอะไรซักอย่างที่มีคนตั้งชื่อให้สวยๆ ว่า "สายกลับใจ" เหมือนกับเรา
เรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ไปซักพักแล้วเราก็พบว่า..นี่ไม่ใช่ทาง อันนั้นเป็นคำอธิบายสวยหรู
แต่ความจริงของผมคือ ผมเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะไม่รู้เรื่อง คณิตศาสตร์ที่โรงเรียนผมตกทุกเทอม...
ผมมาไกลกว่าคำอธิบายเหล่านั้นมาก พอตอนเอ็นทรานซ์ ผมก็ขยันตามสภาพบังคับ
แต่ก็ไม่ถือว่าขยันมาก ก็อ่านหนังสือนะครับ ไปเรียนพิเศษที่ตึกสูงๆ แถวพญาไททุกวัน (ตอนนั้น
มันเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ) ออกจากบ้านทุกวันครับ เข้าเรียนบ้าง โดดบ้าง พอผลสอบเอ็นออกมา 
ผมกับแม่นั่งเอาใบคะแนนสูง-ต่ำ (สมัยนี้ไม่รู้ยังมีอยู่ไหม) มากางดู พลิกไปหน้าสองเลย สุดท้าย..
.ผมได้ย้ายไปอยู่ที่ ม. เชียงใหม่ ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คน...ของโรงเรียน...ที่ไม่ได้เรียนหมอ..ไม่แม้กระทั่ง
ติดจุฬา ธรรมศาสตร์ ตอนแรกผมก็เสียใจนะครับ แม่ก็ได้แต่ปลอบใจว่าที่นั่นดีนะ มีญาติเคยเรียน 
ตอนนั้น ผมร้องไห้กับแม่เลยนะ แต่ไม่ใช่ว่าเสียใจเสียดายนะครับ น่าจะเพราะน้อยใจในโชคชะตา
มากกว่า ผมก็โทษไปเรื่อยตามประสาเด็ก และคุณอาจจะคิดว่าเนี่ยแหละ..คือจุดเปลี่ยนทำให้ผมสำนึก 
นี่คือจุดจบ นี่คือหน้าสุดท้าย....เปล่าครับเปล่า..คุณคิดผิดอย่างมาก 555
                เทอมแรกในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัย พ่อกับแม่ขับรถระยะทางกว่า 700 กิโลเมตรมาส่งลูกชาย
หัวแก้วหัวแหวนให้ร่ำให้เรียน 555 ความรู้สึกเหงามันเกิดขึ้นเหมือนกันนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีใครรู้จัก 
แถมเขาก็พูดภาษาท้องถิ่น มันยิ่งทำให้คุณรู้สึกว่าคุณมาจากดาวอื่น ผมเคยพูดกับเพื่อนที่ตอนนั้นเขาเรียนหมอ
อยู่นะครับว่าจากที่เดิน 5 นาทีถึงสยามพารากอน กลายเป็นหันไปทางไหนมีภูเขา 555 พอถึงตอนเรียน 
ผมก็ไม่ค่อยเข้าเรียนหรอก นอนเฉยๆ อยู่ที่หอพัก กลางคืนก็ไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน เมืองน่าอยู่ สังคมศิวิไลซ์ 
ชีวิตจะดีอะไรเช่นนี้ เมื่อผลสอบมิดเทอมออกมา คะแนนผมก็ตามคาด ไม่ดีหรอกครับ เฉียดมีนหรือต่ำกว่าด้วย
ในบางวิชา แม่ก็ดุผม แต่ผมก็เถียง ผมยังจำคำพูดที่เคยพูดกับแม่ได้เลย "น้องไม่ได้อยากเรียนเก่ง ชีวิตน้อง 
น้องคิดว่าเอาให้ผ่านก็พอแล้ว"  ซึ่งตอนนั้นเป็นวิชาแคลคูลัสตัวแรกครับ ผ่านของผมคือผ่านครึ่ง ขณะที่
คนส่วนใหญ่ได้เกือบเต็ม ผมไม่ไปเรียนจนถึงขนาดที่ว่าเพื่อนคนหนึ่งถามว่า "ยังเรียนอยู่หรอ นึกว่าลาออก
ไปแล้ว" ตอนนั้นผมก็ขำๆ นะครับคิดว่าเขาพูดเล่น สำหรับผลสอบเทอมแรกออกมา ก็ตามคาดครับ ได้ 2.14
 ชีวิตดีไหมครับ?
                เริ่มต้นเทอม 2  คุณก็อาจจะคิดว่าผมต้องปรับปรุงตัวแน่นอน เปล่าครับ สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อผม
สอบมิดเทอม ผลสอบได้ 0 ผมรู้จักคำยอดฮิตของเด็กมหา'ลัย ซึ่งก็คือคำว่า ดรอป (Drop) ตอนนั้น ผมดรอป
ไป  2 วิชาไว้ลงซัมเมอร์ ซึ่งก็คือบัญชีกับแคลคูลัสตัวที่ 2 (ตัวแรกผ่านครับ แหม..ได้ D มาครับ) เกรดเทอม 2 
ของปี 1 ก็ดีจริงๆ นะครับ...2.10 สำหรับบัญชีกับแคลคูลัส ผมต้องลงเพราะเป็นวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน
 (Pre-requisite) ของวิชาบังคับตอนปี เทอม 1 ซึ่งหากไม่ผ่าน คุณก็จะเป้อ (ศัพท์เทคนิคนะครับ
หมายถึงจบช้ากว่ากำหนด 55) ไหนๆ เสียตังลงซัมเมอร์ จัดเลย วิชา 10 หน่วยกิต ตอนช่วงซัมเมอร์ 
ผมก็ยังเที่ยวเหมือนเดิมนะ ใช้ชีวิตเหมือนทุกอย่างกำลังไปด้วย แต่แล้ว....ข่าวร้ายก็เกิดขึ้น...แม่ผมไม่สบายครับ 
เขาป่วยเป็นโรค Bell's Palsy อืม..ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกนะครับ สาเหตุของมันน่ะเหรอ..ว่ากันว่า
ความเครียดครับ ช่วงกลางๆ ซัมเมอร์ แม่ก็ขึ้นมาเยี่ยมที่เชียงใหม่นะครับทั้งที่ยังไม่หายดี จำได้ว่ามันเป็น
ครั้งแรกที่เราได้เห็นผู้หญิง..คนที่เราคุ้นเคยแต่เกิด..คนที่เราเห็นเสมอว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดกลับอ่อนแอที่สุด 
ดูดน้ำ..น้ำก็ไหลออกจากปาก เคี้ยวข้าว..ข้าวก็หก พูด..ก็ไม่ชัด โลกของผมมันเหมือนสีเทา ตอนที่คุยกับแม่
เรื่องเรียน รู้อย่างเดียวว่าแม่เหนื่อย...
วินาทีกลับตัวกลับใจ...
                พอแม่กลับบ้าน มันเหมือนอะไรมาเข้าสิงผม ผมกลับไปทำตัวเหมือนกัน ไม่ได้สำนึกความดีความชอบ
อะไรทั้งนั้น เกรดซัมเมอร์ออก...ผมได้ 1.45 (ทั้งๆ ที่เป็นเทอมซัมเมอร์) อืม..สถานการณ์เริ่มเครียดถึงเครียดมาก 
ระหว่างนั่งรถไฟกลับบ้าน มันเหมือนมีปาฏิหาริย์เล็กน้อย ผมคนเดิมเมื่อตอนม.ต้น ได้กลับมา ระหว่างทาง
กลับบ้านด้วยรถไฟ ระยะเวลา 6 ชั่วโมงบนรถไฟขบวนนั้น (เหมือนฉากในละคร 555) ผมได้ทบทวนทุกอย่าง 
คุณรู้ไหมว่าผมคิดเรื่องตัวเองตลอดเวลา คิดถึงอนาคต คิดถึงเกรด ผมร้องไห้บนรถไฟเป็นชั่วโมงๆ จนป้าข้างๆ 
สงสัยว่าเป็นอะไรมากไหม 555 อืม..ก็ตลกดีครับ ไม่รู้จะร้องทำไม
                ผมเดินเข้าบ้านในฐานะไอ้ลูกชาย..ที่ไม่เอาไหน คืนแรกที่กลับบ้าน แม่เข้ามาคุยกับผมบอกว่า "ลูกรู้
หรือเปล่า พ่อเขารักลูกมากนะ แต่เขาร้องไห้กับแม่ บอกว่าจะทำอย่างไรถ้าลูกเรียนไม่จบ" คุณจะสังเกตว่า
บรรทัดข้างบนๆผมไม่ได้พูดถึงพ่อเลย ใช่ครับ..พ่อไม่เคยบ่นผมซักคำ ไม่เคยเลย ผมเที่ยวบ่อย เงินใช้ไม่พอ 
โทรไปขอพ่อ...ทุกครั้งเขาก็จะโอนให้อย่างเร็ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ผมทำเขาร้องไห้ ผมช่างเป็นลูกที่แย่จริงๆ...
และคืนนั้นเอง ทำให้ผมคิดได้อย่างจริงจังๆ ผมพูดกับตัวเองไปพร้อมน้ำตาว่า ต่อจากนี้ ต้องเอาใหม่ ต้องทำใหม่ 
ไม่เอาอีกแล้ว....ลูกแย่ๆ คนนี้ขอแก้ตัว แต่ผมไม่บอกแม่นะว่าผมจะทำอะไร...
                ขึ้นปี 2 ผมเปลี่ยนแปลงทุกอย่างหมด ผมเที่ยวน้อยลง เริ่มอ่านหนังสือ เตรียมตัวมากขึ้น ผมเรียน
หลักสูตร 2 ภาษา ซึ่งวิชาตัวคณะเนี่ยต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ใช่ครับ..ต้องอ่าน Textbook คือตอนปี 1 
ผมอ่านแต่ไสลด์ที่เขาแจกๆ นะครับ จำได้..แต่ไม่เข้าใจ ผมเลยเริ่มต้นใหม่ เริ่มอ่าน Textbook เลย โชคดี
ที่ภาษาอังกฤษผมค่อนข้างไปวัดไปวาได้เลยเริ่มต้นไม่ยากเท่าไหร่หนัก (2-3 หน้าแรกเท่านั้นนะครับ 55) 
แต่ความยากได้บังเกิด...เมื่อมันเข้าสู่ทฤษฏี อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ เลยแก้ด้วยการหาตำราภาษาไทยมาคู่กัน 
และได้ทำเลคเชอร์และใช้วิธีอ่านซ้ำๆ ย้ำๆ เข้าไป ผมมีเลคเชอร์ทุกวิชานะครับ ทั้งตัวในคณะและนอกคณะ 
  
ตอนกลางคืน บางทีผมก็กลัวเพื่อนเลิกคบนะครับ ก็ไปเที่ยวบ้าง
แต่จะกลับมาอ่านหนังสือหรือก็อ่านช่วงกลางวัน พอตอนสอบ 
มันรู้สึกดีจริงๆ ที่เราทำข้อสอบได้ด้วยความมั่นใจ แล้...ผลสอบ
มิดเทอมก็มา...ผลคือ..ผมได้ Top 1 วิชา เป็นวิชา Econ Thought
 ครับ ผมยังจำตอนที่เดินเข้าไปดูที่บอร์ดคะแนนแล้วทุกคน
มองมาที่ผม ประมาณว่า.."อาจารย์กรอกคะแนนผิดแน่นอน" 
5555 ผมก็แก้เขินนะว่าฟลุ้ค แต่ผมรู้ครับว่าผมต้องได้คะแนนดี
 (แต่ไม่คิดว่าจะ Top ห้อง) ผมก็ทำวิธีการเดิมนี้แหละครับ 
                                                                                     อ่านก่อนไปเรียน เรียนเสร็จกลับมาอ่านและสำคัญคือ
ทำเลคเชอร์ย่อไว้ พอหมดเทอมก็กลับบ้าน พ่อกับแม่คงจะลุ้นว่าผมจะโดนรีไทร์ไหม 555 แต่ผมอุบเงียบนะครับ
ว่าผมซุ่มอ่านหนังสือ พอวันประกาศผล ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษ ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปร้านอินเตอร์เน็ตแห่งเดียวใน
อำเภอ 555....คุณผู้ชมครับ...ผมได้ 3.00 ครับ เชื่อไหมว่าผมดีใจมาก ยังจำได้ว่าร้องลั่นร้านเน็ตเลย กลับมาบ้าน
ผมบอกแม่ว่าได้ 3.00 โอโห แม่เข้ามากอดผมและร้องไห้ ผมขอไม่บรรยายให้มากกว่านี้แล้วกัน เอาเป็นว่า
ความสุขของแม่ที่หายไป..มันกลับมา แม่ยิ้มได้ ผมมีความสุขมากจริงๆ พอตอนเย็นบอกพ่อ..ก็ไสตล์ผู้ชายนะครับ
 เขาก็ดีใจและพาไปเลี้ยงนอกบ้านเลย 555 ความสุขจากการมีคะแนนสอบดีหรือเรียนดี...ถ้าคุณได้สัมผัส
 คุณจะรักมันนะครับ
                ตอนนั้น Facebook กำลังเริ่มบูมแล้วล่ะครับ ผมก็โพสต์เกรดลง โอโห..ทุกคนตื่นเต้น
กับผมมาก จริงๆ เขาก็คิดแหละว่าคงจะโดนไทร์ แต่เปล่าครับ ครับ 555พอปี 2 เทอม 2 ผมก็ทำแบบเดิมนี่แหละครับ 
ใช้วิธีอ่านหนังสือให้มากและทำเลคเชอร์เข้าไว้ ผลจากความพยายาม สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นครับ ผมได้ Top หลายวิชา 
และเกรดเทอมนั้นผมได้ 3.75 ครับ เรียกได้ว่าไม่ไทร์แล้ว ดีใจมากครับ เมื่อพอจะมีความรู้ ผมก็ชอบอ่านข่าว
และชอบวิเคราะห์ข่าว ส่วนมากก็อัพลงเฟสแต่เพื่อนเริ่มรำคาญ 55 เลยสร้างบล็อคไว้ครับ (ซึ่งก็คือบล็อคนี้
แหละครับ)  เทอมต่อไป...วิชามันยิ่งยาก ผมเลยจัดเต็มครับได้มา 3.79 แม่ซื้อไอแพดให้ผมครับ ผมจำได้แค่นี้ :)
เกรดตอนปี 3 เทอม 1
            ตอนปี 4 ผมก็เริ่มรับสอนพิเศษแล้วครับให้กับเพื่อน..
คนที่เคยคะแนนมากกว่าผม ให้กับรุ่นพี่/รุ่นน้อง คนที่เคยรู้จัก 
ก็ถือเป็นช่องทางหารายได้เสริมครับ ถ้าผมจำไม่ผิด...มีคนที่เรียน
กับผมเกิน 50 คนในคณะครับ :) และผมก็ดีใจนะที่เป็น
ส่วนหนึ่งให้เขาผ่าน/ได้คะแนนดีๆ ได้รับความรู้สึกดีๆ 
เหมือนที่ผมเคยได้ ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มอยากเป็นอาจารย์
แล้วล่ะครับ
          หลักสูตรของผมมัน 3 ปีครึ่ง เพราะฉะนั้นเหลืออีก 2 เทอม
 ตอนนั้น..ความรู้สึกอยากได้เกียรตินิยมมันเริ่มมา ผมพยายามอย่างเต็มที่จนได้ 4.00 ใน เทอมสุดท้าย 
ได้รับรางวัลเรียนดีของคณะ แต่เกรดรวมของผมขยับช้ามาก เพราะโดน D ตั้งแต่ปีแรกๆ ฉุด มันทำให้ผมพลาด
เกียรตินิยมไปประมาณ 0.15 ครับ ผมทำเต็มที่แล้วครับ ผมก็เคยคิดเสียดายนะครับเพราะมันคงให้อะไรดีๆ มาก 
อย่างน้อยหน้า Resume ก็จะดูเต็มๆ ขึ้นมาหน่อย แต่ก็เอาว่ะ..อย่าไปเสียดายกับอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย 
4.00 ครั้งแรกในชีวิต
ปริญญาโท
            ใครจะคิดครับว่าอย่างผมจะเรียนจบและยังมา
ต่อปริญญาโท มันเหมือนเวรกรรมนะครับ ป. โทใช้
คณิตศาสตร์เยอะมาก พิสูจน์สูตรกันจนสมองชา ผมไม่เก่ง
คณิตศาสตร์แต่ผมต้องหาทางแก้ไข ใช่ครับ..ผมเริ่มอ่านและ
เริ่มเรียนพิเศษ และทำให้รู้ว่า..เฮ้ย..เราก็ทำได้นะ ไม่ต้องถึง
กับเก่งมากแต่ขอให้ไปรอดในวิชาที่เรียน ผมจำได้ว่าชีวิตนักศึกษาปริญญาโทมันช่างแตกต่างอย่างยิ่งกับตอน
ปริญญาตรี เพราะไม่มีอาจารย์คอยเช็คชื่อ ไม่มีคะแนนเข้าห้อง มีแต่คะแนนรายงานและคะแนนสอบ ความรู้
ความสามารถเกิดขึ้นได้จากการเข้าเรียน เข้าฟังอาจารย์และกลับไปทำความเข้าใจ หาความรู้เพิ่มเติม 
นั่นหมายถึงหากใครหลุด..ก็หลุดไปเลยครับ มันน่ากลัวตรงนี้ สำหรับ GPA ของผมช่วง Coursework ก็อย่าง
ที่ตั้งใจครับ เทอมแรกได้ 3.80 กับเทอมสองได้ 4.00 เฉลี่ยแล้วได้ 3.90 สูงที่สุดในรุ่น ก็ภูมิใจนะครับแต่อย่างว่า...
พอเรียนจบแล้วรู้เลย เกรดมีความสำคัญแค่ตอน 3 วินาทีแรกที่ Interviewer จะดู เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้อง
ได้เยอะที่สุด แต่ขอให้อยู่ในระดับที่ Upper-middle level 55 พูดยังไงดี คล้ายๆว่าสูงกว่าทั่วๆ ไปก็จะไม่ต้อง 
defense ตัวเองให้เหนื่อยครับ
 
เกรดป. โท

            ทั้งนี้ จุดที่ผมอยากเสนอคือเรื่องการวิจัยครับ 
มันเหมือนเป็นนิสัย ติดมาตั้งแต่ตอนอ่านหนังสือ 
พออ่านหนังสือไป มันทำให้เราคิดต่อและอยากรู้ที่มาที่ไป
ให้มากขึ้น กลายเป็นว่าผมชอบค้นคว้า ชอบค้นหา หาซ้ำๆ 
จนกลายเป็นวิถีของ Research ซึ่งมันก็คือ Re และ Search นั่นเอง
 ผมรู้สึกว่าการทำวิจัยค่อนข้างสนุก ตอนป.ตรีทำเรื่อง
รัฐสวัสดิการ ตอนนั้น..โคตรภูมิใจกับมันเลย แต่พอมาอ่าน
ตอนนี้...เขียนอะไรไปว่ะเนี่ย? 5555 สำหรับการทำวิทยานิพนธ์ตอนป.โท จำได้ว่าเหนื่อยมาก ทุ่มเทมาก (ทุกคน
ก็เป็นแบบนี้ครับ ผมมั่นใจ) ผมไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาจนเขาน่าจะรำคาญครับ 555 ช่วงท้ายของการทำวิทยานิพนธ์ 
ผมได้ลองสมัครงานในตำแหน่งนักวิจัยดู 2 ที่ครับ ผมก็เข้าสัมภาษณ์ทั้ง 2 ที่ และได้ทั้งคู่ครับ พ่อกับแม่ก็ให้อิสระ
ในการเลือกครับ แต่มันก็มีปัญหาเล็กน้อยให้ปวดหัวในช่วงนั้นเพราะเขาจะให้ผมเริ่มทำงานเลย แต่ผมยัง
ไม่ได้สอบจบวิทยานิพนธ์ทีครับ ซึ่งก็ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาที่กรุณาเร่งอ่าน เร่งคอมเมนต์
งานวิจัยผมครับ 
การเป็นนักวิจัยและอาจารย์มหาวิทยาลัย
            ผมเริ่มต้นทำงานเมื่อวันแรงงานเลยครับ 1 พฤษภาคม 2557 ในตำแหน่ง "นักวิจัย" ว้าว...ตอนนั้น
ก็ยังไม่รู้นะครับว่าอะไรคือนักวิจัย รู้แค่ว่าชอบงานวิจัย ชอบค้นคว้า ชอบขีดชอบเขียน ชอบอ่าน คนที่รับมา
ก็น่าจะตัดสินใจดีแล้ว..มั้งครับ 555 ผมจำได้ว่าผมงานค่อนข้างเยอะ เลิก 3-4 ทุ่มเลยบางวัน แต่ผมสนุกกับ
มันนะครับ ทั้งนี้ ก็มีผู้ใหญ่หลายๆ ท่านให้ความเมตตาและให้โอกาสในการพูดบรรยายสรุปงานวิจัยโครงการ
ในงานสัมมนาต่างๆ มันก็เป็นจุดที่ผมภูมิใจมากๆ นะครับ ผมจำความรู้สึกนั้นได้ เดินอ้วนๆ ขึ้นเวที 
5555 คุณลุงคุณป้าเขาก็คงจะไอ้เด็กนี่ใคร มาพูดอะไรให้ฉันฟัง 555 แต่ผมก็พิสูจน์ให้เขาเห็นนะครับว่า...
ความตั้งใจ...อายุไม่มีผล :)

                เวลาล่วงเลยไปกว่า 10 เดือน ได้ทำหน้าที่วิทยากร
ทั้งหมด ครั้ง (ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้โอกาสรวมถึง
ช่วยฝึกซ้อม Rehearsal ในที่นี้ด้วยครับ) นอกจากนั้น ยังได้มี
โอกาสติดสอยห้อยตามคนเก่งๆ ไปต่างประเทศเพื่อทำงานให้
กับประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตที่ดีเลยครับ 
 
มุมจากห้องประชุมที่ตุรกี

              







  อย่างไรก็ตาม คนเราก็ก้าวเดินต่อ เมื่อมีโอกาสก็ต้องลองคว้าดู ช่วงเดือนกันยา-ตุลา มีข่าวรับสมัครอาจารย์ที่
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมก็เอาว่ะ...ลองสมัครดูแบบขำๆ ปรากฏว่าคุณสมบัติดันผ่านอีก 555 เลยได้มาสัมภาษณ์
ครับ จำได้ว่าตื่นเต้นมาก วันสัมภาษณ์ช่วงเช้าผมมีบรรยายด้วยนะครับ พอตอนบ่ายก็ไปสัมภาษณ์ ได้แอบ
ไปเช็คประวัติคู่แข่ง โอโห..ตรูมาทำอะไรที่นี่ 5555 ตอนสัมภาษณ์ก็มีผู้บริหารมหาวิทยาลัย คณบดี หัวหน้าภาควิชา
 แล้วก็อาจารย์ท่านอื่นๆ ครับ ตื่นเต้นมากครับ ตื่นเต้นจนผมจำไม่ได้ว่าตอบอะไรไปบ้าง แต่ที่รู้แน่ๆคือ ตอบว่า 
"ไม่ทราบครับ" ไปประมาณ 3-4 คำถาม ผมไม่ทราบนะครับว่าการทีเราไม่รู้และบอกว่าไม่รู้เนี่ยมันผิดหรือเปล่า 
แต่สำหรับผม..การยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ มันแปลว่าเราไม่ได้เป็นน้ำเต็มแก้ว ซึ่งผมก็คิดไปเองคนเดียวแหละว่า
มันน่าจะดีกว่าไม่รู้..แล้วตอบอะไรมั่วๆ ไป พอจบการสัมภาษณ์ ผมก็แอบมีหวังนะครับ (ขนาดตอบไม่ได้
หลายคำถามยังมีหวัง 555) แต่ก็แอบหวั่นใจครับเพราะอายุผมน้อย ตอนนั้น 23 เองที่สัมภาษณ์ แต่พ่อแม่ก็
สนับสนุนและให้กำลังใจเสมอครับ
                และแล้ว มหาวิทยาลัยก็ประกาศครับ ตอนนั้นเป็นวันที่ 4 ธันวาคม ผมขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ 
ใช้เน็ตที่ห้องสมุดคณะฯ  ปรากฏว่าผมได้เป็นอาจารย์ ดีใจลั่นเลย ความรู้สึกเหมือน เฮ้ย...ความพยายาม
ของเรามันไม่สูญเปล่า ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นอาจารย์เป็นคนที่น่ายกย่องและเป็นผู้อุทิศตัวเองให้กับสังคม 
ซึ่งตอนนี้ก็กว่า เดือนแล้วที่ผมทำหน้าที่นี้ รู้สึกมีไฟและสนุกกับงานมากครับ

ปิดท้าย
            ท้ายที่สุดนี้ ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่กำลังสิ้นหวังหรือหมดกำลังใจ 
ได้คิดใหม่ ทำใหม่ ขั้นแรกเลยคือการเปลี่ยนทัศนคติครับ เราอาจจะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่มีความยาก 
แต่ทางแก้ไขก็แค่ลงมือทำมันครับ การเริ่มต้นใช้ต้นทุนมหาศาล แต่ซักวัน..คุณจะได้อะไรดีๆ กลับมาครับ
                และขอขอบพระคุณพ่อแม่ เพื่อนๆ รวมถึงครูอาจารย์ทุกท่านที่ให้กำลังใจผมเสมอ 
สัญญาว่าจะเป็นอาจารย์ เป็นนักวิชาการ เป็นนักวิจัย เป็นทุกๆ อย่างที่ก่อประโยชน์ให้กับสังคมนี้ครับ

ประวัติ
- เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ทุนสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์)
- นักวิจัยกับสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (ดูแล 3 โครงการหลักและช่วยเขียนเสริม 3 โครงการ)
- อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รามคำแหง
- นักวิจัยสมทบของสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และนักวิจัยประจำโครงการที่สถาบันการ
จัดการเพื่อชนบทและสังคม
- งานวิจัยส่วนตัวประมาณ 20 เรื่อง
แผนชีวิต
- เรียนต่อระดับปริญญาเอกในอีก ปี/มุ่งมั่นทำตำแหน่งวิชาการ
...... ปรับวิถีคิด ชีวิตเปลี่ยน.....     


ขอขอบคุณผู้เขียน ที่เขียนบทความนี้ออกมา  มีประโยชน์กับใครอีกหลายคนที่กำลังเดินหลงทางอยู่
 

ภาพและข้อมูลจาก http://wannaphong.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ: ดอกเตอร์จากกองขยะ


ขยะอาจเป็นที่รังเกียจของคนอื่น แต่มันคือทองคำสำหรับผมและแม่…
ตั้งแต่เกิดมา ครอบครัวของเราก็มีฐานะยากจน พ่อเป็นพนักงานขับรถทัวร์ปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-ชุมพร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ทั้งคู่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว พ่อมีลูกติดเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนแม่มีลูกติดเป็นหยิงหนึ่งชายหนึ่ง หลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ก็มาเริ่มต้นชีวิตคู่ที่จังหวัดชุมพร ดังนั้นเมื่อเกิดมาผมก็มีพี่แล้ว 3 คน และหลังจากนั้นอีกสองปีก็มีน้องสาวอีก 1 คน
อย่างไรก็ตาม พ่อกับแม่ใช้ชีวิตครอบครัวได้ไม่นาน ทั้งคู่มักทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องหึง จนในที่สุดก็เลิกรากันไป พ่อจากไปทำงานที่อื่นพร้อมกับนำลูกสาวคนเล็กไปด้วย ทิ้งให้แม่ดูแลลูกอีก 4 คนตามลำพัง การจากไปของพ่อซึ่งเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวสร้างความลำบากให้แม่มากที่สุด เงินทองที่เคยพอมีใช้บ้างก็เริ่มร่อยหรอ แม่แก้ปัญหาด้วยการนำข้าวของเครื่องใช้ในบ้านไปจำนำ ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยเดินเข้าโรงรับจำนำเป็นว่าเล่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
เมื่อข้าวของที่จะนำไปจำนำหมดแล้ว แม่ก็พยายามหางานทำ มีคนรู้จักแถวนั้นแนะนำให้ไปเป็นนายตรวจตั๋วที่บขส. แม่ทำงานนี้ไปได้สักพักก็มีคนแนะนำให้ไปทำงานที่ได้เงินดีกว่า ด้วยการไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารแถวทับสะแก ท่านต้องไปทำงานกินนอนที่นั่น และฝากภาระดูแลน้องให้กับลูกสาวคนโต
ทุกเดือนแม่จะส่งเงินให้ให้เรา 500 บาท โดย 300 บาท เป็นค่าเช่าบ้าน อีก 200 บาทเป็นค่ากินอยู่ของพวกเรา 4 คน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเงินที่น้อยเกินไป หรือเพราะไม่มีผู้ใหญ่ดูแลกันแน่ หลังจากแม่ไปทำงานต่างจังหวัด พี่ๆ ของผมก็ทยอยหายออกจากบ้านไปทีละคน พี่สาวต่างพ่อที่เป็นพี่คนโตหอบเสื้อผ้าหายไปตอนอายุ15ปี ทุกวันนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรผมก็ไม่อาจทราบได้ ส่วนพี่ชายต่างพ่อไปเป็นลูกเรือตังเก
ตอนนั้นชีวิตของผมต้องฝากไว้กับพี่สาวอีกคน ผมไม่ค่อนอนาทรร้อนใจกับการหายตัวไปของพี่สาวและพี่ชายมากนัก ด้วยความเป็นเด็ก ผมคิดว่า ดีเสียอีก พวกพี่ๆไปแล้ว ภาระค่าใช้จ่ายจะได้ลดลง เพราะถ้าอยู่กันครบ เงินก็ไม่พอใช้ ถึงแม้ว่าจะมีคนหายไปแล้วสองคน ค่าใช้จ่ายก็ไม่พอต้องอยู่กันอย่างอดๆอยากๆ นานเข้าพอทนไม่ไหว ผมกับพี่สาวก็เริ่มหาทางรอดให้ตัวเอง แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตย่ำแย่ที่สุดก็เกิดขึ้น
วันนั้นเราสองคนพี่น้องไม่มีเงินเลยสักบาท พี่สาวจึงชวนผมไปเด็ดผักบุ้งในบึงเล็กๆใกล้บ้าน เราสองคนนำอิฐสามก้อนมาวางแล้วก่อกองไฟ นำผักบุ้งที่เด็ดได้มาผัดในน้ำเปล่าๆกินประทังชีวิต ด้วยความอดอยากหิวโหยมาหลายวัน ผมกินผักบุ้งผัดกับน้ำเปล่าด้วยความเอร็ดอร่อย เหมือนเป็นขแงกินแสนวิเศษที่ไม่เคยกินมาก่อน ผมกินแบบไม่ยั้ง เหมือนกินหมูกรระทะแสนเลิสรสก็มปาน แต่กินผัดผักบุ้งแบบนี้ได้ไม่เกินสองวัน ร่างกายของผมก็เริ่มประท้วงอ้วกออกมาจนหมด ด้วยความสงสาร พี่สาวจึงเดินร้องไห้ไปขอข้าวของเพื่อนบ้านมาให้ผมกิน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้ว่า เราขอคนอื่นกินได้ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพี่สาวคนนี้หนีความจนไปอีกคน ผมก็ใช้ชีวิตเป้นเด็กเร่ร่อน กลับบ้านบ้าง ไม่กลับบ้าง และเริ่มหนีเรียน

ผมแต่งตัวเหมือนไปโรงเรียนทุกวัน ชุดนักเรียนของผมมีอยู่ชุดเดียว ใส่จนสีขาวกลายเป็นสีเทา ตกเย็นผมแสร้งทำเป็นว่ากลับมาจากโรงเรียน ด้วยการมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วใส่ชุดอยู่บ้านออกไปวิ่งเล่นแทน เพราะไม่อยากให้เพื่อนบ้านสงสัย ในวัย7ขวบ ชีวิตของผมกำลังเดินเข้าไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ จากเด็กธรรมดาๆผมก้าวเข้าไปสู่การเป็นเด็กขอทานเต็มขั้น เนื้อตัวมอมแมมมแถมยังขี้ขโมยอีกต่างหาก
ส่วนใหญ่ผมจะกินนอนอยู่ที่ บขส. ผมกินข้าวที่เหลือในจานของผู้โดยสารที่มารอรถและเดินขอเศษเงินบาทสองบาทจากคนแถวนั้น บางวันก็ไปขอข้าวกินที่ศาลเจ้าหรือไม่ก็ตามวัด ด้วยความที่มีเพื่อนเป็นลูกแม่ค้าแถว บขส. พวกเราก็ชวนกันไปทำเรื่องสนุกๆด้วยการไปขโมยผลไม้ของแม่ค้าตามแผงต่างๆ หนักเข้าก็มีคนสอนให้ผมขโมยเงินจากตู้เกม แต่ทำได้ไม่นานผมก็เลิกเพราะกลัวถูกตำรวจจับเข้าคุก
ผมใช้ชีวิตคนเดียวราวสองปี หลังจากนั้นแม่ก็กลับมาอยู่ด้วย วันแรกที่แม่กลับมาผมดีใจมาก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด เพราะแม่ทั่งขัดทั้งเกลาผมด้วยสารพัดวิธี เพราะรู้ดีว่าเด็กที่ใช้ชีวิตตามลำพังมานานแสนนานนั้น ดื้อดึงขนาดไหน แม่ให้ผมไปโรงเรียนอีกครั้ง ท่านสอนผมว่า ถึงเราจะยากจนก็อย่าให้ใครมาดูถูก อย่าไปลักเล็กขโมยน้อย และสอนผมทำงานสารพัด ตั้งแต่หุงข้าวไปจนถึงการเดินขายข้าวขายน้ำใน บขส. และหลังสุดแม่ก็ค้นพบว่า การเก็บขยะคืออาชีพที่หาเลี้ยงครอบครัวได้
ในวันหยุดเราสองคนแม่ลูกจะข่วยกันเข็น “รถรุน” ที่ใช้สำหรับเข็นเศษอาหารไปให้หมูกินไปเก็บขยะรอบๆ เมืองชุมพร ส่วนตอนเย็นผมกลับมาจากโรงเรียน แม่ก็เรียกให้มาช่วยแยกขยะที่กองอยู่ในรถเข็น ผมก็จะแยกกระป๋องอะลูมิเนียม ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระดาษ ออกเป็นกองๆแล้วเก็บใส่ถุง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะช่วยแม่ทำงานสารพัด แต่ผมก็ยังถูกแม่ตีแทบทุกวัน ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องตีผม แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า แม้การตีอาจไม่ใช่วิธีการสอนลูกที่ดีที่สุด แต่ในตอนนั้น นี่คือวิธีเดียวที่จะกำราบผมได้ ผมเคยน้อยใจคิดจะฆ่าตัวตายตามประสาเด็ก แต่ได้แค่คิด เพราะนึกถึงหน้าแม่ ผมก็ทำไม่ลง ยิ่งเมื่อรู้ว่าแม่ทำเพื่อผมได้ทุกอย่าง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม่พยายามให้ผมไปเรียนทุกวันเช้าวันหนึ่งส้วมเต็ม ใช้งานไม่ได้ ผมงอแงไม่อยากไปโรงเรียน แล้วในค่ำวันนั้นเอง ผมก็เห็นแม่ลุกจากเตียง เดินอย่างแผ่วเบาลงมาจุดเทียนที่ชั้นล่างเพราะกลัวผมจะตื่น ผมแอบเห้นแม่ค่อยๆใช้ค้อนสกัดเซาะขอบปูนของส้วมวึมเพื่อเปิดให้มีช่องแล้วใช้กระป๋องสีที่ไม่ใช้แล้วตักสิ่งปฏิกูลที่อยู่ข้างในออกมาทีละกระป๋อง เดินตัวเอียง นำไปเททิ้งให้ห่างจากละแวกบ้าน
ผมลุกมานั่งตรงบันได แอบมองแม่อยู่เงียบๆคนเดียว จากสามทุ่มจนถึงตีสอง แม่ไม่ได้หยุดพักเลย ที่ผ่านแม่ทำอะไรเพื่อผมตั้งหลายอย่าง แต่ผมก็ไมรู้สึกซาบซึ้งเท่าวันนี้ ผมเห็นกับตาว่าแม่ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมไปโรงเรียน แม้แต่สิ่งปฏิกูลที่ผมเองยังรังเกียจ ท่านก็ยังกล้าสัมผัสแตะต้อง
“แล้วตัวผมเองล่ะ เคยทำอะไรเพื่อแม่บ้าง ทำไมถึงไม่ตั้งใจเรียน” ผมถามตัวเองอยู่ในใจ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมตั้งใจเรียนจนสอบได้คะแนนดี หลังจบชั้นประถมก็ได้โควตาไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด แต่เราสองคนแม่ลูกยังหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะขายเหมือนเดิม อาชีพเก็บขยะของเราไม่ต้องลงทุนก็จริง แต่เหนื่อยและคาดเดาไม่ได้ว่าวันนี้จะได้รายได้เท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าวันนี้เราจะเดินไปเจออะไร แล้วต่อให้ได้ของมาแล้ว ใช่ว่าเราจะไปขายได้เลย ของส่วนใหย่ต้องสะสมให้ได้จำนวนมากพอจึงจะขายได้
การทำอาชีพเก็บขยะทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ที่สำคัญ มันสอนให้ผมเห็นคุณค่าของสิ่งที่คนอื่นมองว่าไร้ค่า และสอนให้ผมรู้จักอดทน ในวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะนั่งรถเข็นของแม่ไปช่วยแม่เก็บขยะรอบเมือง บางครั้งแม้แดดจะร้อน ขยะจะเหม็น เราก็ต้องทน ผมกับแม่มีบาดแผลจากการถูกของมีคมบาดไม่รู้กี่แผลต่อกี่แผล หลายครั้งเป็นแผลฉกรรจ์ แต่ด้วยความไม่มีเงิน เราสองคนจึงกัดฟันรักษากันเองตามมีตามเกิด
ความยากลำบากในชีวิตทำให้มุ่งมั่นในการเรียนเพื่อทำให้แม่ยิ้มได้อีกครั้ง เมื่อเรียนมัธยมผมก็เรียนต่อในระดับ ปวช. ต่อด้วยปวส.ผมเรียนดีได้ที่หนึ่งมาตลอดและได้รับทุนการศึกษาในช่วงเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคธัญบุรี โดยมีข้อแม้ว่า เรียนจบแล้วผมจะต้องเป็นอาจารย์สอนที่นั่น สอนไปได้สักระยะ ผมก็สอบเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย-เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
หลังจากนั้นผมก็ได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีนิปปอน เมืองไซตะมะ ประเทศญี่ปุ่น วันที่เรียนจบผมเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินส่งไปให้แม่และน้องสาวที่ตอนหลังได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เดินทางมาแสดงความยินดีกับผม ผมเฝ้านับวันรอคอยให้ถึงวันนั้น วันที่คนซึ่งผมรักมากที่สุดจะได้มาชื่นชม ยินดีกับความสำเร็จของผม

ในวันรับปริญญา ผมเห็นแม่ยืนยิ้มอยู่แต่ไกล ผมรู้ดีว่าท่านปลื้มใจในตัวผมมากแค่ไหน ชีวิตของผมมาไกลเกินฝันเหลือเกิน จากเด็กเร่ร่อน เก็บขยะขาย เด็กเหลือขอที่ไม่มีใครต้องการ เหมือนเศษกรวดเศษหินที่ไม่มีค่า แต่แม่ของผมกลับเก็บขึ้นมาขัดถูด้วยความรัก จนวันนี้ก้อนหินที่ไม่มีค่ากลับกลายเป้นเพชรนิลจินดาขึ้นมาได้
ผมเดินทางเข้าไปหาแม่ แล้วค่อยๆก้มลง กราบที่เท้าของท่านด้วยความรักเคารพรักอย่างสุดหัวใจ ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาและผู้ปกครองชาวญี่ปุ่นที่มองมาด้วยความฉงนสนเท่ห์ ผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณท่านอย่างไรดี สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือคำพูดจากใจว่า
“ถ้าไม่มีแม่ค่อยเคี่ยวเข็ญผม คอยดุ คอยตีให้ผมไปเรียน ผมก็คงไม่มีวันมาถึงจุดนี้ ปริญญาใบนี้…ผมขอมอบให้แม่ครับ”
แม่ได้แต่น้ำตาซึม พูดอะไรไม่ออก ท่านลูบศีรษะผมเบาๆ เราสองคนแม่ลูกยืนกอดกันด้วยความตื้นตันใจ ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่า คนไม่มีต้นทุนในชีวิตอย่างผมจะเดิรมาถึงจุดนี้ได้
ขณะกอดแม่ น้ำตาไหลอาบแก้มผม…มันคือน้ำตาแห่งความปีติ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่ได้ร้องไห้เสียใจเพราะถูกแม่ตี แต่ร้องไห้ให้กับความเหนื่อยยากทั้งหลายในชีวิตที่ผมอดทนต่อสู้ฝ่าฟันมาจนสำเร็จ

ภาพจากอินเทอเน็ต และข้อมูลจาก http://www.secret-thai.com/