วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แค่บะหมี่สำเร็จรูป พานร.จีนได้เข้าเรียนม.สหรัฐได้

ซิงฮัน หวัง นักเรียน ม.6 โรงเรียนมัธยมฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน โปรดปรานบะหมี่สำเร็จรูปเป็นชีวิตจิตใจ
นับจากเริ่มลิ้มรสครั้งแรกเมื่อตอนเป็นเด็ก ยิ่งพ่อกับแม่ทำงานข้างนอกไม่ค่อยอยู่บ้าน เด็กชายหวังจึง
ต้องพึ่งบะหมี่สำเร็จรูปมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะหุงข้าวไม่เป็น

 
                            เมื่อโตขึ้นและเดินทางท่องเที่ยวในเอเชีย ก็ได้ลองบะหมี่สำเร็จรูปเกือบทุกรสชาติ
ตั้งแต่ยี่ห้อไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลี และนิชชินของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเคยทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานสัมมนาเ
กี่ยวกับบะหมี่สำเร็จรูปของเอเชียครั้งหนึ่ง  
 
                            แต่ หวัง ไม่เคยคิดเลยว่า การเป็นแฟนพันธุ์แท้บะหมี่สำเร็จรูปจะนำมาซึ่งโอกาส
ครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยโรเซสเตอร์ ในนิวยอร์ก สถาบันการศึกษาอันดับที่ 50
 ในสหรัฐ ตอบรับเรียงความของ หวัง ที่สาธยายถึงความชื่นชอบและสนใจอาหารง่ายๆ ชนิดนี้ 
 
                            "ความชื่นชอบบะหมี่สำเร็จรูปเริ่มจากการติดใจในยี่ห้อสิงคโปร์ และเมื่อเดินทาง
ไปลองถึงถิ่น โลกของผมก็เปลี่ยนไปนาทีที่ได้ลิ้มรสชาติของมัน"
 
                            โจนาธาน เบอร์ดิค รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยโรเซสเตอร์ฝ่ายพิจารณารับนักศึกษา
กล่าวว่า ผู้สมัคร (ซึ่งจริงๆ ยังมีความสำเร็จอีกหลายอย่าง) เขียนเรียงความได้อย่างสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน
รวมทั้งเรื่องที่เมื่อครั้งเป็นเด็กอ้วนๆ คนหนึ่ง เข้าร่วมทีมบาสเกตบอลวันแรก แต่ฝันจะเป็น "เนท โรบินสัน"
ดารานักบาสอเมริกันจากทีม "เดนเวอร์ นักเก็ตส์" คนต่อไป แต่ความคลั่งไคล้ในบะหมี่สำเร็จรูปมีรายละเอียด
ที่โดนใจผู้อ่านมากที่สุด จึงใช้เป็นเหตุผลในการเสนอรับเข้าเรียน 
 
                            หวัง ดีใจมาก และนำส่วนหนึ่งของจดหมายโพสต์บนเว็บไซต์เว่ยป๋อ ซึ่งทำให้เรื่องราว
ของเขาแพร่ออกไปในวงกว้าง เนื้อหาส่วนนั้นระบุว่า "คณะกรรมการเสนอแนะให้มหาวิทยาลัยรับคุณเข้าเป็น
นักศึกษาหลังจากได้อ่านความสนใจของคุณที่มีต่อบะหมี่สำเร็จรูป มั่นใจว่าคุณจะฉายแววและเติบโต
อย่างแข็งแกร่งเมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโรสเซสเตอร์"
 
ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

สกูตเตอร์ฉบับกระเป๋า

                     เบื่อกับการต้องลากกระเป๋าเดินทางใบโตๆ เวลาต้องเดินทางหรือไม่ เหอ เหลียงไค นักประดิษฐ์สมัครเล่นจากเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ทางภาคกลางของจีน มีทางเลือกใหม่ด้วยการเปลี่ยนกระเป๋าเดินทางธรรมดา เป็นสกูตเตอร์เสียเลย ไม่เพียงจุสิ่งของส่วนตัวเวลาเดินทาง ยังเป็นพาหนะให้เจ้าของนั่งขี่ได้อย่างสบายๆ

 
                      ฉางชา อีฟนิง นิวส์ รายงานเมื่อวันพุธว่า เหอ เหลียงไค ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอะไหล่รถยนต์ ได้สาธิตสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่าใช้งานได้จริง ด้วยการขี่ร่อนมาจากบ้าน มายังสถานีรถไฟฉางซาที่อยู่ห่างกัน 12 กิโลเมตร
 
                      กระเป๋าสกูตเตอร์คันนี้ มีน้ำหนัก 7 กิโลกรัม บรรทุกน้ำหนักได้สองคนแต่ละครั้ง วิ่งได้ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 50-60 กิโลเมตรหากชาร์จแบตเตอรี่ลิเธียมจนเต็ม
 
                      หากดูจากภาพเหมือนไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก แต่สำหรับคนคนหนึ่งที่ร่ำเรียนเพียงมัธยมต้น ต้องถือว่าน่าทึ่งอย่างมาก
 
                      เหอ เหลียงไค ใช้เวลานับสิบปีในการค่อยๆ พัฒนาสกูตเตอร์คันนี้ ต้องปรับแก้ปมต่างๆ อาทิ จะใช้ล้อแบบไหนจึงเหมาะ กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นกระเป๋าวิ่งได้ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยคันบังคับ เบรก สัญญาณไฟ และแตร หากยังติดตั้งระบบจีพีเอสและสัญญาณกันขโมยพร้อมสรรพ
 
                      ก่อนหน้านี้ เหอ เหลียงไค เคยได้รับรางวัลที่หนึ่งมาแล้วจากงานแจกรางวัลนักประดิษฐ์ในสหรัฐ จากผลงานระบบความปลอดภัยรถยนต์ เมื่อปี 2542 และขณะเดินทางไปรับรางวัลนี้ เกิดลืมกระเป๋าเดินทาง จึงเกิดแนวคิดที่จะประดิษฐ์สกูตเตอร์ลักษณะนี้ขึ้นมา
 
                      เหอ เหลียงไค ได้ยื่นจดลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐชิ้นนี้กับสำนักงานลิขสิทธิ์ทางปัญญาของจีนแล้ว และคิดว่าน่าจะนำไปใช้สำหรับการเดินทางใกล้ๆ ในเมืองได้

ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประทับใจ ภาพเด็กน้อยวัยไม่ถึง 2 ขวบ เดินตามเจ้าอาวาสวัด ออกบิณฑบาตรทุกเช้า



วันที่ 26 พ.ค.2557 ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า ชาวบ้านย่านบางกรวย ต่างประทับใจ ภาพเด็กน้อยวัยไม่ถึง 2 ขวบ
เดินตามเจ้าอาวาสวัดป่ามณีกาญจ์ จ.นนทบุรี ออกบิณฑบาตรทุกเช้า จนกลายเป็นที่โจษขานไปทั่วถึง
ความน่ารักน่าชังของเด็กชายคนดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่าชื่อ ด.ช.จิรากรณ์ หรือน้องกร
เสือแผ้ว อายุ 1 ปี 11 เดือน ซึ่งทุกเช้านางวริษฐา เสือแผ้ว ผู้เป็นแม่จะพามารอพระอาจารย์อำนวย
จิตฺตสํวโร เจ้าอาวาสวัดที่หน้ากุฎิเพื่อให้ลูกชายได้ทำกิจกรรม โดยการเดินตามเจ้าอาวาส และพระภิกษุ
สามเณรออกเดินบิณฑบาตร โดยพระอาจารย์อำนวยได้กล่าวถึงน้องกรณ์ ว่าเป็นเด็กน่ารัก เฉลียวฉลาด
เรียนรู้ไว และชอบตามโยมแม่มาที่วัดทุกวันไม่เคยขาด โดยจะเดินนำหน้าพระเพื่อรับของที่ญาติโยม
ใส่บาตร พร้อมยกมือไหว้ตามประเพณีพุทธศาสนา


จากนั้นจะกลับมาใส่บาตรสามเณรที่วัด ซึ่งกว่าจะใส่เสร็จก็เล่นเอาสามเณรเหนื่อยไปเหมือนกัน
เพราะด้วยความที่น้องยังเป็นเด็ก หลังจากนั้นน้องกรณI
ก็จะขึ้นไปนั่งกับอาตมาที่ศาลาการเปรียญ
เพื่อโปรดญาติโยม ซึ่งระหว่างนั้นอาตมาจะให้น้องนอน
พักผ่อน เนื่องจากต้องตื่นแต่เช้า
แล้วจะปลุกน้องอีกทีเมื่อถึงเวลาบังสุกุล และถวายสังฆทาน โดยน้อง
จะใช้เวลาอยู่ที่วัด
ประมาณครึ่งวัน ก่อนจะกลับบ้านช่วงบ่าย


ขณะที่นางวริษฐา กล่าวว่า เริ่มพาน้องเข้าวัดตั้งแต่อายุได้ 3 เดือนกว่า เนื่องจากต้องการปลูกฝังให้ลูก
เติบโตเป็นคนดีอยู่ใกล้ศาสนามากที่สุด อยากให้น้องกรณ์ได้เรียนรู้ฝักใฝ่ในธรรมะให้มากที่สุด ตอนนี้
ก็ดีใจมากทีเขาไม่เคยร้องไห้หรืองอแงเลยเวลาถูกปลุกมาวัด น้องเขาจะดีใจมากรีบกุลีกุจอตื่นเพื่อไปหา
พระอาจารย์ ซึ่งก็ได้รับความเมตตาจากระอาจารย์ด้วยดี อยากปลูกฝังให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรมโตขึ้น
จะได้เป็นเยาวชนที่ดีของสังคม.
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนุ่มน้อยวัย 4 ขวบ เลียนแบบดาราฮอลลีวูด



เรียกได้ว่าแจ้งเกิดได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย สำหรับหนุ่มน้อยวัย 4 ขวบ ที่ได้สร้างยอดผู้ติดตาม
มากกว่า 80,000 คน ในอินสแกรม
 กับไอเดียสุดเจ๋งคือการแต่งตัว แฟชั่น เลียนแบบดาราฮอลลีวูดที่ใส่เสื้อผ้าดีไซเนอร์ราคาแพง ด้วยเสื้อผ้าที่เขามีและราคาไม่แพงนั่นเอง วันนี้ เราจะขอพาเพื่อนๆ
ไปรู้จักกับหนุ่มน้อยสุดคูล ที่เป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลในขณะนี้กันครับ




ไรเกอร์ วิกซอม (Ryker Wixom) หนุ่มน้อยจาก LA รัฐแคลิฟอเนีย อายุ 4 ขวบ ได้รับการออกแบบการแต่งตัว
สุดเท่จากแม่ของเขานั่นเอง ได้รับความนิยมจากโลกโซเชียลอย่างมากมาย เพราะนอกจากความน่ารัก
ของน้องแล้ว สิ่งที่ชาวโซเชียลชื่นชอบก็คือ การที่เขาแต่งตัว เลียนแบบดาราฮอลลีวูด นั่นเอง โดยแทนที่
เขาจะแต่งตัวให้เหมือนด้วยเสื้อผ้าราคาแพงโดยดีไซเนอร์ เขากลับแต่งตัว้วยเสื้อผ้าราคาที่ไม่แพง อย่าง
 Gap, H&M, Target, Old Navy และ Zara นั่นเอง





โดยแม่ของหนูน้อยไรเกอร์ได้ อธิบายว่า ตัวของเธอได้รับแรงบัลดาลใจมากจากบล็อกที่เธอเขียนในโซเชียล
 โดยมันเริ่มต้นจาก เพิ่อนของเธอได้โชว์รูปแฟชั่นสำหรับเด็กให้เธอดู นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียแต่งตัว
ไรเกอร์ เลียนแบบดาราฮอลลีวูด นั่นเอง






ภาพและข้อมููลจาก http://men.mthai.com/




วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

'เครื่องหยอดข้าว'ลดต้นทุนการผลิต


การเปิดเสรีทางการค้าของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนในปลายปี 2558 ที่จะถึงนี้ ทำให้หน่วยงานภาครัฐ
ต่างเร่งรับมือกับการแข่งขันในการเปิดเสรีทางการค้าครั้งนี้ โดยเฉพาะสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(ส.ป.ก.) หนึ่งในหน่วยงานภาครัฐได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินให้มี
ศักยภาพการผลิต มีมาตรฐานสินค้าเกษตรที่ดี โดยเฉพาะในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต เพราะหากเกษตรกร
สามารถลดต้นทุนการผลิตก็จะเป็นการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าในกลุ่มประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
 
                         "พื้นที่ของ ส.ป.ก.มีความหลากหลายทางกายภาพ และการประกอบอาชีพของเกษตรกร
ในเขตปฏิรูปที่ดิน ทำให้ภารกิจของ ส.ป.ก.ดำเนินการไม่ทั่วถึงทั้งหมด ในเบื้องต้นจึงมุ่งเน้นที่กลุ่มเกษตรกร
ทำนาก่อน เพราะเป็นกลุ่มอาชีพที่มีพื้นที่เพาะปลูกในเขตปฏิรูปที่ดินค่อนข้างมาก คือมากกว่าร้อยละ 50
ของพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน"
 
                         ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)
กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ส.ป.ก.พยายามปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว จากเดิมที่เคยใช้วิธีหว่าน มาใช้เครื่องหยอด
เมล็ดข้าว ซึ่งศูนย์เครื่องจักรกลของ ส.ป.ก. เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและจัดทำเครื่องต้นแบบ เป็นเครื่องจักรกล
แบบง่ายๆ มีกลไกไม่ซับซ้อน และเกษตรกรสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ โดยสร้างหรือผลิตใช้เองได้
โดยมีต้นทุนการผลิตเครื่องละประมาณ 5,000 บาทเท่านั้น และสามารถใช้งานได้ทั้งนาน้ำตม และนาแห้ง
มีประสิทธิภาพของเครื่องหยอดข้าวสูง ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะจ้างแรงงานการหว่านและการปักดำได้
ทั้งลดปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ไปได้มาก
 
                         "โดยปกติหากใช้วิธีการหว่านเกษตรกรต้องใช้เมล็ดพันธุ์ถึง 30 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อ
หันมาใช้เครื่องหยอดเมล็ดข้าวจะใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ราคาเมล็ดพันธุ์กิโลกรัม
ละ 25 บาท หากคำนวณพื้นที่ 1 ไร่ เกษตรกรจะประหยัดค่าเมล็ดพันธุ์ได้ 675 บาท และเมื่อรวมกับค่าจ้าง
หว่านแล้วก็จะลดต้นทุนการผลิตลงไปได้อย่างน้อย 1,000 บาทต่อไร่ นอกจากนี้ในส่วนของประโยชน์
หรือผลพลอยได้ จะช่วยลดการใช้ปุ๋ย ลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลง และความสูญเสียจากการเก็บเกี่ยว
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดการลดลงตามไปด้วย" 
 
                         ดร.วีระชัยย้ำด้วยว่า เรื่องนวัตกรรมเครื่องหยอดข้าว ส.ป.ก.ให้ความสนใจค่อนข้างมาก
โดยจะมีการขยายผลการดำเนินงานด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกรรมเครื่องจักรกล โดยแบ่งการทำงาน
ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มผู้ใช้เครื่องจักรกล ต้องใช้และมีทักษะอย่างไร จึงจะเข้าถึงองค์ความรู้
สร้างความเข้าใจจนสามารถเป็นวิทยากรให้ความรู้ผู้อื่นได้ ซึ่งการใช้เครื่องหยอดแบบนี้จะลดต้นทุนได้
อย่างแท้จริง ต่อไปหากมีความต้องการใช้เครื่องหยอดข้าวเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ส.ป.ก.ต้องเตรียมไว้ คือ
การขยายผลนวัตกรรมเครื่องจักรกลต่อไป
 
                         ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้พยายามจะสร้างเครือข่ายก็คือ ช่างท้องถิ่น เพราะช่างท้องถิ่น
เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้เครื่องหยอดด้วยตนเอง จนสามารถผลิตเพื่อการจำหน่ายและ
ขยายผลต่อไปได้ สร้างเครือข่าย เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และพัฒนาเครื่องจักรกลในเรื่อง
เครื่องหยอดเมล็ดข้าวให้ดีเยี่ยมและกว้างขวางยิ่งขึ้น
 
                         นับเป็นอีกก้าวของส.ป.ก.ในการนำนวัตกรรมเครื่องหยอดข้าวมาใช้ในการทำนา
นอกจากจะช่วยในเรื่องลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน และประหยัดเมล็ดพันธุ์แล้วยังทำให้ค่าใช้จ่าย
ในการจัดการลดลงตามไปด้วย

ภาพและข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นักวิจัยจุฬา ฯ ประสบความสำเร็จในการกำเนิดแมวหลอดแก้ว

เมื่อวันที่ 16 พค.57 ศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร. มงคล เตชะกำพุ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และ สัตวแพทย์หญิง ดร. อัมพิกา ทองภักดี เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ในการให้กำเนิดลูกแมวจากการปฏิสนธินอกร่างกาย หรือ "ลูกแมวหลอดแก้ว” โดยเป็นแมวแฝดที่เกิดจากหลอดแก้ว
คู่แรกของไทย ซึ่งได้ตั้งชื่อว่า 
เบาหวิว และหนักอึ้ง

ทั้งนี้ประเทศไทยมีแมวมงคลทั้งสิ้น 17 ชนิด ขณะนี้เหลือให้ชื่นชมเพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ วิเชียรมาศ
ศุภลักษณ์ โกนจา และสีสวาด ซึ่งนับวันหายากและใกล้สูญพันธุ์ งานวิจัยดังกล่าวจึงเป็นก้าวสำคัญ ในการนำ
ไปถ่ายทอด เพื่ออนุรักษ์พันธุ์แมวไทยหายากหรือที่สูญพันธุ์ไปแล้ว รวมถึงใช้กับสัตว์ป่าที่สายพันธุ์ใกล้เคียงกับแมว
สำหรับการผสมเทียมหลอดแก้วลูกแมวนั้นเป็นการนำเอาตัวอสุจิไปผสมกับไข่อ่อนที่สุกแล้ว ในหลอดทดลอง ซึ่
งเดิมใช้หลอดแก้ว เป็นกระบวนการเกิดนอกร่างกาย เลียนแบบสภาวะธรรมชาติ ให้ได้ตัวอ่อนขึ้นมาแล้วจึงนำ
ไปฝากในแม่แมวตัวรับให้ตั้งท้องแทน หรือที่เรียกว่าอุ้มบุญ
ส่วนขั้นตอนของการผลิตลูกแมวหลอดแก้ว ประกอบด้วย การนำไข่อ่อนที่ยังไม่พร้อมปฏิสนธิมาเลี้ยงใน
หลอดทดลอง หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ไข่อ่อนจะสุกพร้อมปฏิสนธิ จึงเอาตัวอสุจิใส่ลงไป ทิ้งไว้18 ชั่วโมง
แล้วนำมาเลี้ยง จนได้ตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ประมาณ 24-48 ชั่วโมง แล้วนำไปย้ายฝากในแม่แมวอุ้มบุญ
จากนั้นปล่อยให้แม่แมวอุ้มท้องและคลอดหลังตั้งท้องนานประมาณ 2 เดือน
ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ที่สุดของชีวิต "รัตนวดี เหมนิธิ วินเธอร์" ภริยาทูตเดนมาร์ก



นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2011 ที่ รัตนวดี เหมนิธิ วินเธอร์ เดินทางกลับมาพำนักในประเทศไทยในฐานะ "ภริยาเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย" นับเป็นเวลา 4 ปี ที่เธอบอกว่าเป็น "ที่สุดของชีวิต" 

ย้อนกลับไป ก่อนที่สตรีไทยใบหน้าคมหวาน สาวโคราชคนนี้จะตกปากรับคำเป็น "หลังบ้าน" ให้กับ มิคเคล วินเธอร์ ทูตเดนมาร์ก เส้นทางชีวิตของเธอตั้งแต่เยาว์วัย เหมือน "ปูทาง" มาเพื่อการเป็นภริยาทูตอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ว่าจะเป็นชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก สามารถสอบชิงทุนเป็น"นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS" ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาโทรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ ประเทศแคนาดา และเมื่อเรียนจบก็สมัครเข้าทำงานที่แคนาดาเลย ด้วยตั้งใจว่าจะลงหลักปักฐานไปตลอดชีวิต 

"ชีวิตเหมือนความฝัน แต่เป็นฝันที่เป็นจริง" รัตนวดี เอ่ยปากพลางยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่เปิดบ้านย่านสาทรให้ทีมข่าวจากมติชนเข้าเยี่ยมชม ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของบ้าน 2 ชั้น สนามหญ้ากว้างใหญ่ ที่ตอนนี้ "นกยูง" กำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ 

หลายคนอาจมองว่า ชีวิตภริยาทูตคงจะหรูหราฟู่ฟ่า แต่สำหรับรัตนวดี เธอเป็น "คนสู้ชีวิต" และเป็น "เวิร์กกิ้งวูแมน" คนหนึ่ง

"ที่แคนาดา พอเราขอเป็นพลเมืองของเขาแล้ว เราจะได้รับโอกาสให้เข้าทำงาน ดิฉันได้ทำงานในด้านการศึกษา เริ่มตั้งแต่เป็นครู ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เสาร์-อาทิตย์ไม่หยุดพักผ่อน ดึกดื่นค่ำมืด หิมะตกก็ลุยไปทำ จนได้รับโอกาสให้เป็นผู้บริหารของกรมการศึกษาที่โน่น มีหน้าที่ดูแลคนต่างชาติที่ขอโอนสัญชาติเป็นคนแคเนเดียน โดยเป็นผู้จัดคอร์สอบรมให้กับนิวแคเนเดียน ทั้งการสร้างทักษะทางภาษา ทักษะการทำงาน ทักษะการใช้ชีวิต" 

(บน) ฐานทัพอเมริกาในกรุงแบกแดด (ล่าง) เอกอัคราชทูตเดนมาร์กกับหน่วยรักษาความปลอดภัย


ในอายุเพียง32ปีเธอสามารถก้าวขึ้นสู่ "ผู้บริหาร" ควบคุมดูแลพนักงานนับ 100 คน 

"แคนาดามีนโยบายสนับสนุนผู้หญิง ถ้าเรามีความสามารถจะไม่โดนปิดกั้นอะไรมาก และจะได้โอกาสทางการทำงาน เช่น ถ้าผู้หญิงและผู้ชายสมัครงานด้วยกัน และมีความเก่ง หรือความชำนาญ เท่ากัน เขาจะเลือกผู้หญิงก่อน เป็นการให้โอกาสความเท่าเทียม ซึ่งสังคมที่พัฒนาแล้วจะเป็นสังคมที่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่ากัน" 

เมื่อเป็น "คู่แล้วย่อมไม่แคล้ว" ทั้งที่อยู่ไกลกันคนละซีกโลก ในระหว่างที่รัตนวดีเดินทางกลับมาประเทศไทย เธอได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ "เลขานุการเอกสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย" 
เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ในขณะที่เธอนั้นกลับมองเขาเป็นเพียงเพื่อน แต่ด้วยความจริงใจของนักการทูตหนุ่มก็ทำให้เธอแพ้ใจและตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกับเขาที่เดนมาร์ก 

จากนั้นไม่นานเธอก็เดินทางตามสามีไปประจำอยู่ที่ประเทศเวียดนาม แล้วก็ต้องแยกกันอยู่ถึง 2 ปี เมื่อสามีได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นทูตประจำประเทศอิรัก ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีสงครามกลางเมือง ทูตอเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ก ตกเป็นเป้าที่มีความเสี่ยงระดับสูงสุด 

และก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องไปประสบพบเจอเมื่อเดินทางไปเยี่ยมสามีที่กรุงแบกแดด 

"ท่านทูตมีการ์ด 25 คนคอยดูแล ส่วนดิฉัน แม้ไปแค่ครั้งเดียว ก็ต้องใส่เสื้อเกราะ ใส่หมวกกันกระสุน ติดวิทยุ ใส่ถุงมือกันความร้อน นั่งในรถกันกระสุน หรือแม้แต่ที่สถานทูตก็ต้องมีม่านกันกระสุน ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก"

แม้จะต้องไปเผชิญกับประสบการณ์ "เสี่ยง" แต่ก็ "คุ้มค่า" 

"ท่านทูตมีผลงานดีมาก รัฐบาลต้องการอะไร ท่านสามารถทำได้ เมื่อทำผลงานได้ดีแม้จะอยู่ในที่อันตราย จึงได้รับโอกาสให้เลือกประเทศใหม่ที่จะไปอยู่" 

คำตอบ คือ ประเทศไทย

"ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้มากันง่ายๆ ต้องเป็นคนตำแหน่งใหญ่หรือคนที่มีอายุมากแล้ว ถึงจะได้มา คุณมิคเคลเป็นทูตคนแรกที่อายุน้อยที่สุดเพียง 49 ปี ที่มาเมืองไทย" 

มาดามรัตนวดีเล่าว่า คนไทยต้องภูมิใจ ที่ประเทศของเราใครๆ ก็อยากมาอยู่ นักการทูตตะวันตกแย่งกันมาเมืองไทย อย่างเดนมาร์ก ไทยเป็นอันดับที่ 2 รองจากนิวยอร์ก หรือที่เยอรมนี มีคนยื่นใบสมัครขอมาเป็นทูตที่เมืองไทยครั้งละ 60-80 คน 

"ประเทศเรามีทุกอย่าง ทั้งความสะดวกสบาย การบริการ อาหารการกิน สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เราเป็นฮับของทุกอย่าง" 

เมื่อเป็นคนไทย แต่มาอยู่ประเทศไทยในฐานะ "มาดามแอมบาสเดอร์ เดนมาร์ก" 

"มีหลายคนเคยล้อดิฉัน หญิงไทยหัวใจเดนมาร์ก" บอกพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนอธิบายว่า 

"เราเป็นคนไทยอยู่ที่ไหนก็เป็นคนไทย การมาอยู่ที่นี่เหมือนการพบกันครึ่งทาง อะไรเป็นข้อดีของเมืองไทยดิฉันยึดถือ และอะไรที่เป็นข้อดีของเดนมาร์กดิฉันนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์กับประเทศ อะไรที่ทำให้เราสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็อยากจะทำให้ดีที่สุด" 

ด้วยความที่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องมีงานทำเสมอ และที่ประเทศไทย เธอเคยดำรงตำแหน่งประธานจัดงานออกร้านภริยาทูต โดยรายได้จากการจัดการมอบให้สภากาชาดไทย ล่าสุดกับตำแหน่ง "ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย มูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย" 

"งานของเราคือการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับเด็ก ซึ่งเราได้ทุนจากหลายภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ มาทำโครงการในโรงเรียนให้เด็ก และครู เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรที่สร้างจิตสำนึกของการใช้หมวกกันน็อก นอกจากนี้ จะเน้นไปที่คนรุ่นใหม่ โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ ให้เด็กรุ่นใหม่มองหมวกกันน็อกให้ดูน่ารักสดใสไม่น่าเบื่อ"
ขณะนี้กำลังเจรจากับโรงเรียนในสังกัดสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเข้าไปรณรงค์เบื้องต้นนำร่อง 30 โรงในกรุงเทพฯ 

"ได้มาทำโครงการนี้ถือเป็นโอกาสดี เพราะตอนนี้เป็นภริยาทูต แทนที่จะเป็นแม่บ้าน มาช่วยทูตเราคนเดียว ซึ่งปัญหาคนที่เสียชีวิตบนถนนในประเทศไทยมีเยอะมาก อันดับ 2 ของโลก มันไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ แต่เป็นสิ่งที่ควรตระหนัก และทุกคนควรจะร่วมกันแก้ไข"

และการทำงานทดแทนคุณแผ่นดินแม่ก็เป็น "ที่สุดในชีวิต" ของเธอ 

"การได้มีโอกาสได้ใช้ความเป็นภริยาทูต ทำอะไรคืนให้กับคนไทย เป็นสิ่งที่มีความหมาย การรณรงค์ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการมากที่สุด เพราะคนไทยเสียชีวิตมาก ปัญหานี้เป็นปัญหาของคนจนมากกว่าคนรวย อยากให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี มันเป็นที่สุดในชีวิตของดิฉัน มีความสุขที่ได้ทำและมีความสุขที่สามีสนับสนุน" ว่าพลางก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส



ครอบครัวศิลปิน


ถือว่าเป็นครอบครัวที่รักศิลปะมากๆ ท่านทูตมิคเคล วินเธอร์ หลงรักการเล่นดนตรีและขับฮาร์เล่ย์ เดวิดสันเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันเกิดของภริยา ท่านทูตมักจะแต่งโคลงให้เป็นของขวัญทุกปี อีกทั้งยังเคยแต่งเพลงที่มีเนื้อหาทำนองว่า "เธอผู้เป็นกำลังใจ" ให้กับมาดามด้วย 

ขณะที่ มาดามรัตนวดีก็ชอบการเขียนหนังสือและวาดรูป แม้จะเพิ่งหัดวาดได้ปีกว่า แต่ฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว 

เธอบอกว่า การวาดรูปเป็นความสุขที่ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/