วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

'นนท์ - เดอะ วอยซ์' เด็กหนุ่มซื่อ ใสๆ เสน่ห์มัดใจคนดู




คุณกาญจนา สิทธิเม่งรายงานเกี่ยวกับน้องนนท์ซึ่งเรียกได้ว่าจากเด็กใต้มาไกลจากจังหวัดภูเก็ตกับความชอบที่จะถ่ายทอดเพลง และครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาลองสานความฝันในการร้องเพลงกับการเข้าประกวดรายการ เดอะ วอยซ์พร้อมกับความสำเร็จสำหรับหนุ่ม นนท์ธนนท์ จำเริญลูกทีมของโค้ช ก้อง-สหรัถ สังคปรีชาที่พลิกล็อกชนะใจคนดูได้รับรางวัลชนะเลิศพร้อมเป็นแชมป์ เสียงจริง ตัวจริง จากเวที เดอะ วอยซ์คนแรกของประเทศไทย ที่มีอายุเพียงแค่ 16 ปี จากวันแข่งจนถึงวันนี้ทำให้หนุ่ม นนท์มีชีวิตที่เปลี่ยนไป มีคนรู้จักมากขึ้นพร้อมกับชื่อเสียงเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมมีคิวงานที่ค่อนข้างแน่น บวกกับเรื่องของการเรียน วันนี้ นนท์จะวางแผนชีวิตอย่างไร หลังจากคว้าแชมป์ รวมถึงเราไปทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นกันเลยดีกว่า

แชมป์ เดอะ วอยซ์

วินาทีแรกที่รู้ว่าตัวเองได้แชมป์?


ผมตกใจครับ และก็ดีใจเราได้มาถึงเกินที่เราหวังไว้ เพราะตอนนั้นผมก็ไม่คิดว่าเป็นตัวเอง แค่เราได้มาออกทีวีก็ดีใจแล้ว และได้ออกหลายครั้ง ผมเองก็เต็มที่กับทุก ๆ ครั้ง ก็ไม่เครียดหรือกดดันตัวเอง เราก็ไม่รู้ว่าคนดูชอบเราตรงไหน แต่ผมชอบตัวเองตรงที่ว่าเมื่อเราขึ้นโชว์ ผมจะลืมเรื่องแข่งขันนั้นไป เหมือนถูกดูดเข้าไปในเพลง เราก็สนุกที่ได้ทำตรงนั้น ซึ่งผมร้องเพลงตอนนั้นในใจคิดว่าเป็นใครก็ได้ เพราะทุกคนที่มาประกวด เดอะ วอยซ์ทุกคนเป็นเสียงจริง ตัวจริง ถ้าถามว่าเชียร์ใครก็คงเป็นพี่เก่งครับ เพราะพี่เขาเก่งจริง ๆ แกก็จะมีแนวแปลก ๆ มาให้เราได้สนุกด้วยกันครับ

ทำไมถึงเข้ามาสมัครในรายการ?

เรารู้สึกว่าครอบครัวเรามีปัญหาทาง การเงิน เห็นพ่อแม่ทำงาน ซึ่งแม่เองก็มีโรคประจำตัว ผมก็เป็นห่วง ในใจคิดว่าอยากช่วยเหลือครอบครัวทำไงก็ได้ ตอนนั้นคิดว่าปกติเลิกเรียนมาก็มานั่งดูทีวีมันก็ไม่ได้ช่วยที่บ้าน ผมเองก็ชอบร้องเพลงถ้าเราลองไปประกวดก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายให้เราพอมาช่วยท่านได้บ้าง ซึ่งส่วนตัวผมก็เคยผิดหวังมาหลาย ๆ เวที แต่เวทีนี้คุณครูได้แนะนำและผมเองก็รู้มาว่าเขาไม่เน้นหน้าตา ขอเสียงดีก็สามารถชนะได้ ก็เลยอยากที่จะมาร้องเพลงขอแค่ได้มาร้องก็ดีใจแล้วครับ
ชื่อเสียง
หลังจากได้แชมป์มีคนรู้จักทั่วประเทศ ไปไหนมาไหนมีคนจำได้?
มันต่างจากปกติเมื่อก่อนเดินไปไหนไม่มีใครสนใจ มองเชิด ๆ ไม่รู้จักกัน แต่ตอนนี้เขาเจอผมก็จะเข้ามาทัก ซึ่งเราต่างไม่รู้จักกันมาก่อน เป็นอีกแบบก็ดี เราก็ต้องปรับเปลี่ยนไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือเบื่อเลย กลับชอบมากกว่า ถ้าเบื่อก็ต้องกลับไปคิดว่า ทำไมเราเบื่อ เราเลือกมาทางนี้เราก็ต้องยอมรับ การที่เรามาทางนี้แสดงว่าจะมีคนรู้จักเรามากขึ้นและมีคนที่รักเราปลื้มเราก็ดีมาก ถือว่าเราเดินมาถึงตรงนี้เหมือนคนเดินปิดตาแล้วมาถูกทาง ทุกก้าวที่เดินมาผมก้าวเต็มเท้า และจะใช้ให้คุ้ม ส่วนเรื่องรางวัลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ก่อนหน้านี้เรามีชีวิตอย่างไรเราก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรียบง่ายในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีความพยายาม เราจะใช้สิ่งของมาเปลี่ยนเราไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนสิ่งของ

งานที่จะเข้ามากับการเรียน วางอนาคตไว้อย่างไร?

ตอนนี้ผมอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีวิทยา ภูเก็ต ซึ่งกับการทำงานที่จะต้องเข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ผมเองอยากเรียนไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้เราเป็นนักเรียนเราต้องทำหน้าที่หลักของเรา ไม่อยากพักการเรียนกลัวจะไม่เหมือนเดิม ยอมเหนื่อยในช่วงนี้ไปก่อนครับในเรื่องของการเดินทาง ก็ต้องอดทนสู้กันนิดนึงส่วนอนาคตก็อาจจะต้องดูก่อนครับ ว่าจะต้องย้ายเข้ามากรุงเทพฯ หรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ผมอยากที่จะเรียนให้จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วค่อยย้ายมาเรียนต่อ มหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ครับ

ลูกแหง่

เป็นคนดังมีคนรู้จักแล้วสาว ๆ ยิ่งอยากเข้าใกล้?


ไกลตัวมากครับ ให้เราเลี้ยงตัวเองให้ได้จริง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ ให้พ่อแม่ครอบครัวเราสบายก่อนดีกว่า อีกอย่างเราต้องรอบคอบมีสติเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันยาวไปถึงอนาคต ที่ผ่านมาก็มีมาชอบผมแบบวัยเรียน กุ๊กกิ๊ก แต่ผมก็ไม่ครับ ผมยังไม่อยากและพร้อม ห่วงแต่พ่อแม่อยากดูแลท่านก่อน

เหมือนเราติดแม่?

ครับ ผมรัก ผมห่วง อยากกอดท่านก็จะทำเลยไม่ได้อายหรือห่วงกลัวสายตาคนที่มอง คือเราไม่รู้ว่าวันนี้อยู่ด้วยกัน แล้วผมไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะได้เจอแม่หรือเปล่า ถึงแม้มันเป็นเรื่องที่เราจะทำอะไรไม่ได้ ถ้าเกิดขึ้นมาผมก็จะไม่รู้สึกว่าทำไมผมไม่รีบทำเพราะผมทำมันโดยตลอดมา ผมแสดงออกทุกอย่างที่ผมเป็นห่วงท่าน และคุณแม่เองก็จะคอยสอนผมเสมออยู่ให้คนรัก อย่าแก่แดด อย่าลามปามผู้ใหญ่ อย่างเวลาไปโรงเรียนพ่อของเพื่อน ๆ ก็จะบอกลูกทุกคนไปโรงเรียนเรียนเก่ง ๆ นะ แต่แม่ก็จะคอยบอกเสมอว่าตั้งใจเรียน อยู่ให้เพื่อนรักนะลูก อย่าอยู่ให้เพื่อนเกลียด ถ้าผมมีลูกผมก็จะสอนลูกอย่างที่แม่สอน เราไม่ต้องเก่ง แต่ให้เป็นคนดี
อนาคต
มาถึงจุดนี้ที่เกินเป้าที่คาดไว้ ตั้งแต่อายุยังน้อย?
ตกใจครับ เราเคยฝันไว้มันอีกนาน ผมฝันอีก 30 ปี ซึ่งอาจจะเป็นแค่คนยกของหรืออยู่ในวงการแบบห่าง ๆ ไม่มีโอกาสได้มาเป็นคนที่ร้องเพลงและมีคนรู้จักเพลงฟังเพลงเยอะ ๆ แต่ฝันผมกลับกลายมาเป็นเด็กอายุ 16 ปี
แต่เราก็ดีใจ หลาย ๆ คนมีถามครับ ไม่เสียดายช่วงวัยรุ่นเพราะอาจจะขาดหายไป ผมว่าแล้วไม่ดีเหรอจะกลับไปเริ่มต้นตอน 30 เราก็ต้องเสียดาย เราต้องร้องเพลงถ้าเราไม่ทำวันนี้อีก 10 ปีข้างหน้าจะเสียดายไหม ช่วงวัยรุ่นสักวันมันต้องหายอยู่ดีครับ เราเองอายุก็ต้องมากขึ้นตามเวลา พ่อแม่เราก็เช่นกัน เมื่อเรามีโอกาสเราต้องทำอะไรให้เขาบ้างแล้วเราต้องให้ความสุขกับตัวเอง ครอบครัว และกับใครหลาย ๆ คนครับ

ฝากอะไรทิ้งท้าย?

สำหรับคนที่อยากมาประกวด เดอะ วอยซ์ หรือในเวทีต่าง ๆ ที่คุณถนัด โอกาสไม่ได้จำกัดว่าเพศหญิงหรือชาย อยู่ที่ว่าคุณจะคว้าหรือหยิบมันมาไหม ขอใจคุณอย่างเดียวว่า อย่าหยุด อย่ายั้ง อย่ายอมแพ้ ทำอะไรก็ให้สุด ๆ เกินร้อย

นี่แหละนิยามของคนรุ่นใหม่ ตั้งเป้าไว้แล้วเดินหน้าต่อไป ทำอะไรแล้ว ทำให้สุด ๆ เหมือน นนท์ เดอะวอยซ์ นะจ๊ะ น้อง ๆ.


ผู้ใหญ่หลายๆคนคงรู้สึกภาคภูมิใจแทนพ่อแม่ที่เป็นเด็กที่รู้คิด รู้ว่าตัวเองควรอยู่อย่างไร ทำตัวอย่างไร อยากให้วัยรุ่นสมัยนี้คิดแบบน้องนนท์จังเลย  พ่อแม่คงจะสบายใจกว่านี้มากๆ

ขอให้น้องนนท์รักษาความดีนี้ไว้นานๆนะคะ อย่าเปลี่ยนไปตามกระแสเร้วนักนะคะ

ภาพและข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น