วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ: ดอกเตอร์จากกองขยะ


ขยะอาจเป็นที่รังเกียจของคนอื่น แต่มันคือทองคำสำหรับผมและแม่…
ตั้งแต่เกิดมา ครอบครัวของเราก็มีฐานะยากจน พ่อเป็นพนักงานขับรถทัวร์ปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-ชุมพร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ทั้งคู่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว พ่อมีลูกติดเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนแม่มีลูกติดเป็นหยิงหนึ่งชายหนึ่ง หลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ก็มาเริ่มต้นชีวิตคู่ที่จังหวัดชุมพร ดังนั้นเมื่อเกิดมาผมก็มีพี่แล้ว 3 คน และหลังจากนั้นอีกสองปีก็มีน้องสาวอีก 1 คน
อย่างไรก็ตาม พ่อกับแม่ใช้ชีวิตครอบครัวได้ไม่นาน ทั้งคู่มักทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องหึง จนในที่สุดก็เลิกรากันไป พ่อจากไปทำงานที่อื่นพร้อมกับนำลูกสาวคนเล็กไปด้วย ทิ้งให้แม่ดูแลลูกอีก 4 คนตามลำพัง การจากไปของพ่อซึ่งเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวสร้างความลำบากให้แม่มากที่สุด เงินทองที่เคยพอมีใช้บ้างก็เริ่มร่อยหรอ แม่แก้ปัญหาด้วยการนำข้าวของเครื่องใช้ในบ้านไปจำนำ ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยเดินเข้าโรงรับจำนำเป็นว่าเล่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
เมื่อข้าวของที่จะนำไปจำนำหมดแล้ว แม่ก็พยายามหางานทำ มีคนรู้จักแถวนั้นแนะนำให้ไปเป็นนายตรวจตั๋วที่บขส. แม่ทำงานนี้ไปได้สักพักก็มีคนแนะนำให้ไปทำงานที่ได้เงินดีกว่า ด้วยการไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารแถวทับสะแก ท่านต้องไปทำงานกินนอนที่นั่น และฝากภาระดูแลน้องให้กับลูกสาวคนโต
ทุกเดือนแม่จะส่งเงินให้ให้เรา 500 บาท โดย 300 บาท เป็นค่าเช่าบ้าน อีก 200 บาทเป็นค่ากินอยู่ของพวกเรา 4 คน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเงินที่น้อยเกินไป หรือเพราะไม่มีผู้ใหญ่ดูแลกันแน่ หลังจากแม่ไปทำงานต่างจังหวัด พี่ๆ ของผมก็ทยอยหายออกจากบ้านไปทีละคน พี่สาวต่างพ่อที่เป็นพี่คนโตหอบเสื้อผ้าหายไปตอนอายุ15ปี ทุกวันนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรผมก็ไม่อาจทราบได้ ส่วนพี่ชายต่างพ่อไปเป็นลูกเรือตังเก
ตอนนั้นชีวิตของผมต้องฝากไว้กับพี่สาวอีกคน ผมไม่ค่อนอนาทรร้อนใจกับการหายตัวไปของพี่สาวและพี่ชายมากนัก ด้วยความเป็นเด็ก ผมคิดว่า ดีเสียอีก พวกพี่ๆไปแล้ว ภาระค่าใช้จ่ายจะได้ลดลง เพราะถ้าอยู่กันครบ เงินก็ไม่พอใช้ ถึงแม้ว่าจะมีคนหายไปแล้วสองคน ค่าใช้จ่ายก็ไม่พอต้องอยู่กันอย่างอดๆอยากๆ นานเข้าพอทนไม่ไหว ผมกับพี่สาวก็เริ่มหาทางรอดให้ตัวเอง แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตย่ำแย่ที่สุดก็เกิดขึ้น
วันนั้นเราสองคนพี่น้องไม่มีเงินเลยสักบาท พี่สาวจึงชวนผมไปเด็ดผักบุ้งในบึงเล็กๆใกล้บ้าน เราสองคนนำอิฐสามก้อนมาวางแล้วก่อกองไฟ นำผักบุ้งที่เด็ดได้มาผัดในน้ำเปล่าๆกินประทังชีวิต ด้วยความอดอยากหิวโหยมาหลายวัน ผมกินผักบุ้งผัดกับน้ำเปล่าด้วยความเอร็ดอร่อย เหมือนเป็นขแงกินแสนวิเศษที่ไม่เคยกินมาก่อน ผมกินแบบไม่ยั้ง เหมือนกินหมูกรระทะแสนเลิสรสก็มปาน แต่กินผัดผักบุ้งแบบนี้ได้ไม่เกินสองวัน ร่างกายของผมก็เริ่มประท้วงอ้วกออกมาจนหมด ด้วยความสงสาร พี่สาวจึงเดินร้องไห้ไปขอข้าวของเพื่อนบ้านมาให้ผมกิน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้ว่า เราขอคนอื่นกินได้ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพี่สาวคนนี้หนีความจนไปอีกคน ผมก็ใช้ชีวิตเป้นเด็กเร่ร่อน กลับบ้านบ้าง ไม่กลับบ้าง และเริ่มหนีเรียน

ผมแต่งตัวเหมือนไปโรงเรียนทุกวัน ชุดนักเรียนของผมมีอยู่ชุดเดียว ใส่จนสีขาวกลายเป็นสีเทา ตกเย็นผมแสร้งทำเป็นว่ากลับมาจากโรงเรียน ด้วยการมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วใส่ชุดอยู่บ้านออกไปวิ่งเล่นแทน เพราะไม่อยากให้เพื่อนบ้านสงสัย ในวัย7ขวบ ชีวิตของผมกำลังเดินเข้าไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ จากเด็กธรรมดาๆผมก้าวเข้าไปสู่การเป็นเด็กขอทานเต็มขั้น เนื้อตัวมอมแมมมแถมยังขี้ขโมยอีกต่างหาก
ส่วนใหญ่ผมจะกินนอนอยู่ที่ บขส. ผมกินข้าวที่เหลือในจานของผู้โดยสารที่มารอรถและเดินขอเศษเงินบาทสองบาทจากคนแถวนั้น บางวันก็ไปขอข้าวกินที่ศาลเจ้าหรือไม่ก็ตามวัด ด้วยความที่มีเพื่อนเป็นลูกแม่ค้าแถว บขส. พวกเราก็ชวนกันไปทำเรื่องสนุกๆด้วยการไปขโมยผลไม้ของแม่ค้าตามแผงต่างๆ หนักเข้าก็มีคนสอนให้ผมขโมยเงินจากตู้เกม แต่ทำได้ไม่นานผมก็เลิกเพราะกลัวถูกตำรวจจับเข้าคุก
ผมใช้ชีวิตคนเดียวราวสองปี หลังจากนั้นแม่ก็กลับมาอยู่ด้วย วันแรกที่แม่กลับมาผมดีใจมาก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด เพราะแม่ทั่งขัดทั้งเกลาผมด้วยสารพัดวิธี เพราะรู้ดีว่าเด็กที่ใช้ชีวิตตามลำพังมานานแสนนานนั้น ดื้อดึงขนาดไหน แม่ให้ผมไปโรงเรียนอีกครั้ง ท่านสอนผมว่า ถึงเราจะยากจนก็อย่าให้ใครมาดูถูก อย่าไปลักเล็กขโมยน้อย และสอนผมทำงานสารพัด ตั้งแต่หุงข้าวไปจนถึงการเดินขายข้าวขายน้ำใน บขส. และหลังสุดแม่ก็ค้นพบว่า การเก็บขยะคืออาชีพที่หาเลี้ยงครอบครัวได้
ในวันหยุดเราสองคนแม่ลูกจะข่วยกันเข็น “รถรุน” ที่ใช้สำหรับเข็นเศษอาหารไปให้หมูกินไปเก็บขยะรอบๆ เมืองชุมพร ส่วนตอนเย็นผมกลับมาจากโรงเรียน แม่ก็เรียกให้มาช่วยแยกขยะที่กองอยู่ในรถเข็น ผมก็จะแยกกระป๋องอะลูมิเนียม ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระดาษ ออกเป็นกองๆแล้วเก็บใส่ถุง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะช่วยแม่ทำงานสารพัด แต่ผมก็ยังถูกแม่ตีแทบทุกวัน ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องตีผม แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า แม้การตีอาจไม่ใช่วิธีการสอนลูกที่ดีที่สุด แต่ในตอนนั้น นี่คือวิธีเดียวที่จะกำราบผมได้ ผมเคยน้อยใจคิดจะฆ่าตัวตายตามประสาเด็ก แต่ได้แค่คิด เพราะนึกถึงหน้าแม่ ผมก็ทำไม่ลง ยิ่งเมื่อรู้ว่าแม่ทำเพื่อผมได้ทุกอย่าง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม่พยายามให้ผมไปเรียนทุกวันเช้าวันหนึ่งส้วมเต็ม ใช้งานไม่ได้ ผมงอแงไม่อยากไปโรงเรียน แล้วในค่ำวันนั้นเอง ผมก็เห็นแม่ลุกจากเตียง เดินอย่างแผ่วเบาลงมาจุดเทียนที่ชั้นล่างเพราะกลัวผมจะตื่น ผมแอบเห้นแม่ค่อยๆใช้ค้อนสกัดเซาะขอบปูนของส้วมวึมเพื่อเปิดให้มีช่องแล้วใช้กระป๋องสีที่ไม่ใช้แล้วตักสิ่งปฏิกูลที่อยู่ข้างในออกมาทีละกระป๋อง เดินตัวเอียง นำไปเททิ้งให้ห่างจากละแวกบ้าน
ผมลุกมานั่งตรงบันได แอบมองแม่อยู่เงียบๆคนเดียว จากสามทุ่มจนถึงตีสอง แม่ไม่ได้หยุดพักเลย ที่ผ่านแม่ทำอะไรเพื่อผมตั้งหลายอย่าง แต่ผมก็ไมรู้สึกซาบซึ้งเท่าวันนี้ ผมเห็นกับตาว่าแม่ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมไปโรงเรียน แม้แต่สิ่งปฏิกูลที่ผมเองยังรังเกียจ ท่านก็ยังกล้าสัมผัสแตะต้อง
“แล้วตัวผมเองล่ะ เคยทำอะไรเพื่อแม่บ้าง ทำไมถึงไม่ตั้งใจเรียน” ผมถามตัวเองอยู่ในใจ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมตั้งใจเรียนจนสอบได้คะแนนดี หลังจบชั้นประถมก็ได้โควตาไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัด แต่เราสองคนแม่ลูกยังหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะขายเหมือนเดิม อาชีพเก็บขยะของเราไม่ต้องลงทุนก็จริง แต่เหนื่อยและคาดเดาไม่ได้ว่าวันนี้จะได้รายได้เท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าวันนี้เราจะเดินไปเจออะไร แล้วต่อให้ได้ของมาแล้ว ใช่ว่าเราจะไปขายได้เลย ของส่วนใหย่ต้องสะสมให้ได้จำนวนมากพอจึงจะขายได้
การทำอาชีพเก็บขยะทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ที่สำคัญ มันสอนให้ผมเห็นคุณค่าของสิ่งที่คนอื่นมองว่าไร้ค่า และสอนให้ผมรู้จักอดทน ในวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะนั่งรถเข็นของแม่ไปช่วยแม่เก็บขยะรอบเมือง บางครั้งแม้แดดจะร้อน ขยะจะเหม็น เราก็ต้องทน ผมกับแม่มีบาดแผลจากการถูกของมีคมบาดไม่รู้กี่แผลต่อกี่แผล หลายครั้งเป็นแผลฉกรรจ์ แต่ด้วยความไม่มีเงิน เราสองคนจึงกัดฟันรักษากันเองตามมีตามเกิด
ความยากลำบากในชีวิตทำให้มุ่งมั่นในการเรียนเพื่อทำให้แม่ยิ้มได้อีกครั้ง เมื่อเรียนมัธยมผมก็เรียนต่อในระดับ ปวช. ต่อด้วยปวส.ผมเรียนดีได้ที่หนึ่งมาตลอดและได้รับทุนการศึกษาในช่วงเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคธัญบุรี โดยมีข้อแม้ว่า เรียนจบแล้วผมจะต้องเป็นอาจารย์สอนที่นั่น สอนไปได้สักระยะ ผมก็สอบเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย-เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
หลังจากนั้นผมก็ได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีนิปปอน เมืองไซตะมะ ประเทศญี่ปุ่น วันที่เรียนจบผมเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินส่งไปให้แม่และน้องสาวที่ตอนหลังได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เดินทางมาแสดงความยินดีกับผม ผมเฝ้านับวันรอคอยให้ถึงวันนั้น วันที่คนซึ่งผมรักมากที่สุดจะได้มาชื่นชม ยินดีกับความสำเร็จของผม

ในวันรับปริญญา ผมเห็นแม่ยืนยิ้มอยู่แต่ไกล ผมรู้ดีว่าท่านปลื้มใจในตัวผมมากแค่ไหน ชีวิตของผมมาไกลเกินฝันเหลือเกิน จากเด็กเร่ร่อน เก็บขยะขาย เด็กเหลือขอที่ไม่มีใครต้องการ เหมือนเศษกรวดเศษหินที่ไม่มีค่า แต่แม่ของผมกลับเก็บขึ้นมาขัดถูด้วยความรัก จนวันนี้ก้อนหินที่ไม่มีค่ากลับกลายเป้นเพชรนิลจินดาขึ้นมาได้
ผมเดินทางเข้าไปหาแม่ แล้วค่อยๆก้มลง กราบที่เท้าของท่านด้วยความรักเคารพรักอย่างสุดหัวใจ ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาและผู้ปกครองชาวญี่ปุ่นที่มองมาด้วยความฉงนสนเท่ห์ ผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณท่านอย่างไรดี สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือคำพูดจากใจว่า
“ถ้าไม่มีแม่ค่อยเคี่ยวเข็ญผม คอยดุ คอยตีให้ผมไปเรียน ผมก็คงไม่มีวันมาถึงจุดนี้ ปริญญาใบนี้…ผมขอมอบให้แม่ครับ”
แม่ได้แต่น้ำตาซึม พูดอะไรไม่ออก ท่านลูบศีรษะผมเบาๆ เราสองคนแม่ลูกยืนกอดกันด้วยความตื้นตันใจ ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่า คนไม่มีต้นทุนในชีวิตอย่างผมจะเดิรมาถึงจุดนี้ได้
ขณะกอดแม่ น้ำตาไหลอาบแก้มผม…มันคือน้ำตาแห่งความปีติ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่ได้ร้องไห้เสียใจเพราะถูกแม่ตี แต่ร้องไห้ให้กับความเหนื่อยยากทั้งหลายในชีวิตที่ผมอดทนต่อสู้ฝ่าฟันมาจนสำเร็จ

ภาพจากอินเทอเน็ต และข้อมูลจาก http://www.secret-thai.com/