วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พบวิธีการทำให้"คนเป็นอัมพาต"เดินได้อีกครั้ง


เทคนิคใหม่ในทางการแพทย์ที่นำมาใช้จนได้ผลในการทำให้ผู้ป่วยอัมพาตท่อนล่างโดยสิ้นเชิงสามารถกลับมาเดินและใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่งนี้เป็นผลงานของทีมแพทย์ภายใต้การนำของเจฟฟรีย์ เรสแมน ศาสตราจารย์ประจำสถาบันประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอนส์ (ยูซีแอล)
กระบวนการเยียวยาแบบใหม่ซึ่งถูกรายงานไว้ในวารสารการปลูกถ่ายเซลล์ครั้งนี้ เป็นการนำเอา เซลล์เส้นประสาทรับกลิ่น (ออลแฟคทอรี เอนชีธติ้ง เซลล์-โออีซี) จากจมูกของผู้ป่วยเองมาปลูกถ่ายให้ทำหน้าที่เป็นเหมือน "สะพานเส้นประสาท" เพื่อเชื่อมต่อระหว่างส่วนของกระดูกสันหลังที่ถูกตัดขาดออกจากกันของผู้ป่วย ซึ่งศาสตราจารย์เรสแมนเชื่อว่า หากได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง จะกลายเป็นกรรมวิธีที่จะพลิกโฉมหน้าของชีวิตผู้ป่วยอัมพาตที่เกิดจากอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ที่ตอนนี้ไม่มีหวังให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งหนึ่ง

การผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์ประสาทจนประสบความสำเร็จดังกล่าวเป็นการทดลองในผู้ป่วยอาสาสมัครวัย38 ปี ชาวโปแลนด์ ชื่อ ดาเรค ฟิดีกา ที่ถูกแทงบริเวณกระดูกสันหลังจนเป็นอัมพาตท่อนล่างเมื่อปี 2010 ทีมวิจัยใช้วิธีการดังกล่าวรักษาฟิดีกาต่อเนื่องเป็นเวลา 19 เดือน ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจา มูลนิธินิโคลส์เพื่อผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหนัง หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวบางส่วนได้เอง และขาบางส่วนเกิดความรู้สึกได้อีกครั้ง และยังคงฟื้นฟูสภาพร่างกายได้มากกว่าที่คาดหมายไว้อย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้สามารถขับรถและใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือได้

ศาสตราจารย์เรสแมน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอาการกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บจากยูซีแอล ทำงานร่วมกับทีมศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโวรคอฟ จัดการผ่าตัดนำเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) ของฟิดีกาออกมาจาก ส่วนของสมองที่เรียกว่า "ออลแฟคทอรี บัลบ์" ที่อยู่ด้านหน้าสุดของสมองส่วนหน้าเหนือจากช่องจมูกขึ้นไปเล็กน้อยและเป็นศูนย์รวมของประสาทรับกลิ่นของคนเราบวกกับเซลล์สร้างเส้นใยเส้นประสาทรับกลิ่น(ออลแฟคทอรี เนิฟ ไฟโบรบลาสต์-โอเอ็นเอฟ) ซึ่งเป็นกลุ่มเส้นประสาทที่โยงจากช่องจมูกไปยังกลุ่มเซลล์ประสาทรับกลิ่น นำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยในบริเวณที่เส้นประสาทไขสันหลังเสียหาย โดยใช้ปลูกถ่ายเป็น "สะพาน"ระหว่างส่วนของกระดูกไขสันหลัง 2 ส่วนซึ่งถูกตัดขาดจากกันด้วยคมมีด

เส้นประสาทที่ถูกนำออกมานั้น จะถูกแทนที่ด้วยเส้นประสาทใหม่ซึ่งจะงอกเข้าหาศูนย์รับกลิ่นของสมอง หรือ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" อีกครั้ง โดยทีมแพทย์ช่วยเสริมกระบวนการดังกล่าวด้วยการเปิดช่องที่ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" เพื่อให้เส้นประสาทใหม่ได้เชื่อมต่อเข้าไป ทีมวิจัยเชื่อว่า การปลูกถ่ายเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) เข้าไปยังบริเวณที่ไขสันหลังเสียหายจะช่วยให้เส้นใยประสาทที่เสียหายอย่างหนักสามารถเติบโตใหม่ได้อีกครั้ง

ศาสตราจารย์เรสแมนชี้ว่าดูเหมือนโออีซีและโอเอ็นเอฟจะทำงานร่วมกันแต่กลไกลที่ทำให้เซลล์ประสาทรับกลิ่นและเส้นประสาทรับกลิ่้นมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด

ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจสอบรายงานดังกล่าวแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่กับการศึกษาวิจัยโดยตรงชี้ว่าผลลัพธ์ดังกล่าวถือว่าสร้างความหวังใหม่ขึ้น โดยต้องมีการศึกษามากขึ้นต่อไปว่า เพราะเหตุใดการทดลองครั้งนี้จึงประสบผล และจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีนี้กับผู้ป่วยมากคนขึ้นเพื่อให้การประเมินผล ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ทั้งนี้ ทีมวิจัยเตรียมดำเนินการแบบเดียวกันนี้ต่อผู้ป่วยอัมพาตอีก 5 คนในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

ก็ขอให้การวิจัยนี้สำเร็จกับคนไข้ทุกคนโดยเร็วเพื่อที่คนที่เป็นอัมพาตจะได้ลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติได้ จะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด

ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 คนเก่งที่แปลกของโลก

10  ที่มีความสามารถมากกว่า มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ จะมีกัน บางความสามารถ
ของพวกเขาก็เกิดจากการเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้พวกเขามีความสามารถมากกว่า
คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ  เรามาดูกันดีกว่า ว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง


 1. Ma Xiangang (ชายที่สามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าแรงสูงได้) ความบังเอิญเพราะวันหนึ่งนาย Xiangang ได้พยายามซ่อมทีวีที่เสียและบังเอิญมือของเขาดันไปโดนสายไฟที่ยังมีไฟฟ้าเลี้ยงอยู่ แต่แทนที่เขาจะถูกช็อตจนไหม้เกรียม เค้ากลับไม่มีความรู้สึกเจ็บสักนิด และด้วยความสงสัยเค้าเลยไปทดสอบความสามารถของตนเองอีกครั้งด้วยการจับสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้ารั่ว และเค้าก็ต้องประหลาดใจ เพราะนอกจากจะไม่ถูกไฟฟ้าช็อตแล้วเค้ายังไม่รู้สึกเจ็บโดยผิวหนังของเขาสามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าคนทั่วไป 7-8 เท่า


2. Dean Karnazes (ชายที่ไม่มีวันเหนื่อย)พลังพิเศษของเขา คือ สามารถวิ่งมาราธอนได้ถึง 50 รายการใน 50 รัฐ เป็นเวลา 50 วันนอกจากนั้นเขายังวิ่งในระยะทาง 350 ไมล์ (563กิโลเมตร) ในเวลา 3 วันติดต่อกันโดยไม่หยุดพัก ได้มีการทดสอบร่างกายของนาย Dean ว่าทำไมร่างกายเขาจึงสามารถทนทานการออกกำลังกายได้มากกว่าคนทั่วไป และผลการทดสอบพบว่า ถ้าเป็นคนปกติหลังจากการวิ่งมาราธอนกล้ามเนื้อจะได้รับความเสียหายประมาณ 2,400 CPK แต่นาย Deanกลับมีค่าความเสียหายเพียง 447 CPK เท่านั้น สำหรับผลสรุปการทดสอบออกมาได้ว่า ถ้าเขายังคงอยู่ในสภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 7-10 นาที ต่อไมล์ไปได้เรื่อยๆ ตลอดกาล

3. Stephen Wiltshire (ชายผู้มีความสามารถที่ไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น)เขาสามารถวาดภาพทิวทัศน์ของประเทศและเมืองต่างๆ จากความทรงจำเท่านั้น เขาสามารถจดจำทุกๆ รายละเอียดได้ แม้ะจะดูแค่เพียงแว้บเดียว และจนถึงทุกวันนี้เค้าก็ยังจดจำภาพที่เขาเคยเห็นได้ทุกภาพ Stephen เป็นคนที่มีอาการของโรคออทิสติก แต่เขาก็มีสิ่งที่ทดแทนกันได้นั่นคือ ความสามารถในการจดจำและเขายังเคยขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูทิวทัศน์จากด้านบนของเมือง New York ขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์และรายละเอียดได้ ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์


4. Kim Peek (ความสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้)เขาสามารถจำเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดที่เคยอ่านได้ จำนวน 12,000 เล่มได้ โดยเขาสามารถอ่านได้ทีละ 2 หน้าพร้อมๆกัน ตาซ้ายอ่านหน้าซ้ายตาขวาอ่านหน้าขวา เขายังสามารถจดจำทุกสิ่งที่เคยได้พบเจอมาตลอดชีวิตด้วยลายละเอียดที่ถูกต้องถึง 98 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่สภาพอากาศที่ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้นาย Kim มีความสามารถนี้เกิดจากความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้พื้นที่ความจำของเขามีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ โดยนาย Kim Peek เสียชีวิตในปี 2009


5. Wim Hof (มีความสามารถในการต้านทานความเย็น)ชายผู้นี้มีความสามารถพิเศษในการต้านทานความหนาวเย็น เพราะความเย็นไม่สามารถทำอะไรร่างกายเขาได้เลย ซึ่งเคยมีการทดลองโดยให้เขาดำน้ำเย็นจัด ที่สามารถฆ่าคนปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที แต่ปรากฏว่าอุณหภูมิในร่างกายเขาแทบจะไม่ลดลงเลย ซึ่งเขาสามารถทำได้แม้กระทั่งปีนเทือกเขาเอเวอร์เรสโดยใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว โดยนาย Wim Hof บอกว่าความสามารถของเค้าได้มาจากการทำสมาธิ


6. Isao Machii (สุดยอดปฏิกิริยารีเฟล็กซ์)ซามูไรผู้ที่มีปฏิกิริยารีเฟร็กซ์(ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้สมองสั่ง)ที่ยอดเยี่ยมโดยสามารถตัดสิ่งของต่างๆด้วยดาบซามูไรให้ขาดครึ่งได้แม้จะเป็นของเล็กๆ หรือกระทั่งตัดลูกกระสุนปืนอัดลมให้ขาดครึ่งเพราะเป็นความสามารถแบบนี้เราจะพบเจอได้แค่ในหนังเท่านั้น โดยความสามารถของเขาถูกอธิบายไว้ว่า เป็นความสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขา และใช้สัมผัศแบบอื่นนอกเหนือจากการมองเห็น โดยเป็นระบบประมวลผลการรับรู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปกว่าในคนทั่วไป


7. Saul Aaron Kripke (ฉลาดจน Harvard เชิญให้ไปเป็นอาจารย์สอนขณะที่เรียนอยู่ไฮสคูล)เขาเริ่มศึกพีชคณิตเมื่อตอยอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิต และ แคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง จึงหันไปสนใจปรัชญา โดยเขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semamtics) และตรรกวิทยาแบบ Modal Logic ในขณะที่อายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้ได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เชิญชวนให้เขาไปเป็นอาจารย์ ซึ่งเค้ากลับตอบปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนจบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” Kripke ยังได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล และในปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่


8. Akrit Jaswal (สามารถเป็นศัลยแพทย์ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ)“เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเด็กๆที่อายุเท่าๆกัน และในปี 2000 เค้าได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของตัวเองด้วยวัยเพียง 7 ขวบ ซึ่งคนไข้เป็นเด็กอายุ 8 ขวบที่มีฐานะยากจน มือของเธอถูกๆไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่เคยได้เรียนวิชาทางแพทย์อย่างเป็นทางการ และยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดใดๆ แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีกครั้ง โดยขณะนี้ Akrit กำลังเรียนเรียนปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัย Chandigarth และยังเป้นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน


9. Gregory Smith (ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อมีอายุเพียง 12 ขวบ)เขาสามารถอ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบเท่านั้น และเด็กหนุ่มคนนี้ตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิเด็ก และได้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Cliton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง



10. Kim Ung – Yong (จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมีไอคิวสูงที่สุดในโลก)ถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records บันทึกว่าเค้ามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 สามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ และตอนครบ 5 ขวบก็สามารถแก้โจทย์ แคลคิวลัส ที่ซับซ้อนได้ และยังได้เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิฟส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบพออายุ 7 ขวบ NASA ก็เชิญเค้าไปที่อเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 ปี โดยระหว่างที่เรียนเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ไปด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งกลับเกาหลีจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิฟส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและศึกษาจนได้รับปริญญาเอก
ภาพและข้อมูลจาก http://teen.mthai.com/