วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปู่ทหารเรือสหรัฐโด่งดังผู้จูบปากพยาบาล สัญญลักษณ์"ชัยชนะสงครามโลก"


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ว่า นายเกล็น แม็คดัฟฟี่ ทหารเรือสหรัฐ ผู้จูบปากพยาบาล สัญญลักษณ์ภาพแห่งชัยชนะสงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐ ได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 86 ปี เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่บ้านพักคนชราในเมืองดัลลัส  หลังจากเขาต้องการให้มีการปิดตัวตนของเขาอย่างเงียบ ๆ โดยการเสียชีวิตของเขาถูกยืนยันจากเจ้าหน้าที่วาดภาพด้านการชันสูตรรายหนึ่ง ที่ค้นพบเขาในบ้านพักคนชราดังกล่าว เมื่อ 6 ปีก่อน


รายงานระบุว่า นายเกล็น ถือเป็นบุรุษคลาสสิก ที่ถูกบันทึกภาพขณะจูบปากพยาบาล ที่จัตุรัสไทมส์ สแควร์ ในกรุงนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ปี 1945 โดยนิตยสารไลฟ์ได้บันทึกภาพและขึ้นปกดังกล่าว จนภาพนี้กลายเป็นภาพระดับตำนานในเวลาต่อมา โดยภายหลังเดินทางกลับจากสงคราม นายเกล็นได้หันมายึดอาชีพส่งไปรษณีย์ และเป็นนักเบสบอลกึ่งอาชีพ

ขณะที่ภาพดังกล่าวถูกบันทึกโดยนายอัลเฟรด ไอเซนสแตรด ช่างภาพของนิตยสาร"ไลฟ์"ซึ่งได้เสียชีวิตลงเมื่อปีก่อน และมีผู้คนหลายรายได้ออกมาอ้างตัวว่า เป็นนายทหารเรือฮีโร่รายนี้ ซึ่งสร้างความสับสนแก่หลายฝ่าย เนื่องจากภาพที่ถ่ายไม่ได้มีการระบุชื่อผู้ถูกบันทึกภาพ กระทั่งมีการพิสูจน์โดยนางลุยส์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วาดภาพชันสูตรระดับดีกรีกินเนสส์ บุ๊ค ที่เคยช่วยตำรวจวาดภาพผู้ต้องสงสัยหลายคนมาแล้ว

โดยนางลุยส์ กิ๊บสัน เปิดเผยว่า นายเกล็นเล่าว่า ในช่วงก่อนถูกถ่ายภาพดังกล่าว เขากำลังเปลี่ยนรถไฟในกรุงนิวยอร์ก หลังได้รับการบอกว่า ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกแล้ว และเขาในขณะนั้นมีอายุ 18 ปี ได้วิ่งออกไปบนถนน เพื่อหาแฟนสาว แต่กลับไปเจอพยาบาลรายหนึ่ง ซึ่งกำลังยิ้มให้เขา เขาจึงตรงดิ่งเข้าไปจูบเธอ เพื่อฉลองชัยชนะของประเทศในสงครามโลกครั้งที่สอง

ซ้าย : Glenn McDuffie  ขวา: Edith Shain (พยาบาลในภาพซึ่งเสียชิวิตในปี 2010)
และว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายเกล็นไม่ได้พยายามเปิดเผยตัวเองว่า เป็นทหารเรือผู้โด่งดัง และยังขอให้เธอปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับด้วย โดยในช่วงที่เธอค้นพบความจริงดังกล่าว นายเกล็นรู้สึกตื่นเต้นมาก  และอดีตนายทหารเรือรายนี้ ได้ตระเวณโชว์ตัวยังที่ต่าง ๆ และยังมีรายได้จากการให้ผู้หญิงจูบเขาที่แก้มครั้งละ 10 ดอลลาร์ด้วย โดยนายเกล็นมีชีวิตในช่วงอายุ80 ปีอย่างน่าอิจฉา 
  
และในปัจจุบันนี้ได้มีการสร้างรูปปั้นเหตุการณ์นี้ไว้ด้วยที่ downtown San Diego waterfront 




ดูคลิปการติดตั้งรูปปั้น The Kiss 


และคลิปการสัมภาษณ์ Edith Shain (พยาบาลสาวในภาพ) ณ สถานที่ตั้งรูปปั้น





ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/และhttp://www.youtube.com/

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

"โบบิ" เจ้าของร้านแว่นหรูอันละล้าน


ชายหนุ่มวัย 48 ปี ผู้นี้คือ สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ หรือ อ.โบบิปรมาจารย์แว่นสายตาระดับไฮเอนด์ ผู้อำนวยการศูนย์แว่นตา ไอซอพติก ชั้น 4 เอราวัณ แบงคอก มีลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีหลายราย ทำรายได้สูงถึงเดือนละ 10 ล้านบาท 

"ลูกค้าผมเป็นมหาเศรษฐี  คนกลุ่มนี้เขาไม่นั่งรถไฟฟ้า จะนั่งรถมีคนขับ ถ้าไม่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ก็เป็นเบนซ์ s class หรือไม่ก็เบนต์ลีย์ โรลสรอยซ์ ลูกค้าผมเป็นกลุ่มนี้ "ปรมาจารย์แว่นสายตาบอก

อ.โบบิ เป็นคนจังหวัดตรัง เกิดมาในครอบครัว ร้านแว่นไฮเอนด์ ชื่อร้านสว่างการแว่น เรียนรู้การทำแว่นด้วยตัวเอง และหาความรู้จากอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่เริ่มมีการใช้ในเมืองไทย โดยเขากล่าวว่าอินเตอร์เน็ตคือ "มหาสมุทรแห่งความรู้" ที่ยิ่งเจาะก็ยิ่งเจอ 

เมื่อบวกกับพรสวรรค์ที่ศึกษาเรื่องอะไรแล้วสามารถต่อยอดเอาความรู้ที่มีไปแตกแขนงจนคิดสูตรแว่นของตัวเองขึ้นมาภายใต้ชื่อร้านไอซอพติก เปิดสาขาที่เอราวัณ แบงคอก มา 7 ปีแล้ว มีลูกค้าประจำ อาทิ ปรีชา ประกอบกิจ อดีตผู้บริหารมือพระกาฬ ของแอมเวย์ ประเทศไทย จุไรรัตน์ ดิศกุล ณ อยุธยา จากตระกูลภิรมย์ภักดี กรัณย์พล อัศวสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ชื่อ โบบิ อันเป็นเอกลักษณ์นี้ มีที่มาคือ ลูกศิษย์ที่เรียนวิชาแว่นตาที่เมืองจีนเรียกชื่อภาษาอังกฤษของตน คือ บ็อบบี้ เพี้ยนเป็น โบ๋บี้ เมื่อตามมาที่เมืองไทยก็เรียกเหล่าซือโบ๋บี้ เมื่อลูกศิษย์คนไทยได้ยินเลยเรียกว่า โบบิ 

ปัจจุบันแว่นสายตาไฮเอนด์ของไอซอฟติก สนนราคาตกอยู่ที่อันละ 8 หมื่น-9 ล้านบาท ตัวเลนส์จ้างโรเด็นสต๊อกผลิต ส่วนกรอบแว่น 90% คือ ยี่ห้อลินด์เบิร์ก ของเดนมาร์ก โดดเด่นที่ดีไซน์ และน้ำหนักเบา และสามารถสั่งตัดได้ตามโครงหน้าลูกค้า 

"ที่สั่งผลิตเฉพาะบุคคล ตัวกรอบราคาประมาณ 3 แสนบาท ถึง 9 ล้านบาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการระดับไหน อย่างราคา 9 ล้าน จะมีพิงค์ไดมอนด์ติดอยู่ก้านละชิ้น ส่วนเลนส์ราคาอยู่ที่ 4 หมื่นบาท ถึง 4 แสนบาท ราคาต่ำสุด รวมเลนส์ รวบกรอบก็ต้องมี 7-8 หมื่น"

อ.โบบิบอกว่า ด้วยราคาที่สูงลิบ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากแว่นตามท้องตลาดทั่วไป เริ่มตั้งแต่การวัดสายตา ที่ต้องทำละเอียด 2 ชั่วโมง 

เริ่มแรกต้องวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตา จากนั้นก็คัดกรองการรับรู้สี เพราะหลายคนไม่ทราบว่าตัวเองรับรู้สีบกพร่อง 

จากนั้นก็สแกนตา ตั้งแต่กระจกตาด้านนอก ช่องว่างระหว่างกระจกตาและช่องลูกตาด้านใน และเลนส์ตา สแกนไปถึงจอรับภาพ ทั้งหมดนำมาประมวลเพื่อที่จะมาพล็อตโครงสร้างเลนส์ 

และด้วยความพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้ายนี้ ทำให้แว่นตาแต่ละอันใช้เวลาทำถึง 2 เดือน ซึ่งลูกค้าส่วนมากก็ยินดีที่จะรอ 

"แว่นผมต่างจากทั่วไปตรงที่ว่า เป็นเลนส์ที่ตรวจวัด แล้วก็ผลิตเฉพาะบุคคล เข้าหาตัวผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้น จะเป็นแว่นที่ปรับเข้าหาคน ไม่ใช่คนปรับเข้าหาแว่น คนใส่แว่นจะรู้ เวลาเปลี่ยนแว่นทุกครั้งจะต้องปรับตัว บางทีต้องขืนใจตัวเอง ขืนสมอง ขืนสายตา ในที่สุดก็ปรับเข้าหาแว่นได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปคือความสามารถของสมองที่ควรจะไปทำงานด้านอื่น มันต้องพยายามเก็บพลังเอาไว้เพื่อปรับตัวเข้าหาแว่น ขณะที่แว่นของผมใส่เข้าไปปุ๊บมันไม่ต้องปรับ สมองก็จะว่างงานแล้วก็จะไปทำฟังก์ชั่นอื่นได้"

นอกจากแว่นสายตาแล้ว อ.โบบิ ยังทำแว่นตาสำหรับคนเล่นหุ้นด้วย โดยอธิบายว่าเป็นแว่นสำหรับไว้ดูหน้าจอทีเดียว 16 จอ 

"คนพอสายตายาว โฟกัสภาพจะช้า จะทำให้เกิดการดีเลย์ในการวิเคราะห์หุ้น แต่ด้วยแว่นของผมสามารถที่จะทำให้คนในวัย 60 สามารถที่จะดูหุ้นแล้วเห็นได้เร็วกว่าพวกเราอีก มันคือแว่นที่เร่งความเร็วของสมอง แว่นที่เพิ่มความสามารถในการทำงานของสมองได้ทันที" อ.โบบิบอกสรรพคุณ 

ปัจจุบันนี้ อ.โบบิมั่นใจว่า ตนคือผู้ทำแว่นไฮเอนด์รายเดียว ไร้คู่แข่งมาเทียบฝีมือ และที่สำคัญก็ยังหาลูกศิษย์ที่จะถ่ายทอดวิชายังไม่ได้ หากเป็นอะไรไปตอนนี้ สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือลูกค้า เพราะไม่มีใครทำได้เหมือนตนเองแล้ว

สุดยอดจริง คนคนนี้ ขอชื่นชมในความมุ่งมั่น

ข้อมูลและภาพจาก http://www.prachachat.net/