วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

สุดยอดนักวิ่งที่มีน้ำใจนักกีฬาสุดๆ




เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2556 เว็บไซต์ฮัฟฟิงตันโพสต์ เปิดเผยเรื่องราวน่าประทับใจของนักวิ่งชาวสเปนรายหนึ่ง ที่สะกิดนักวิ่งคู่แข่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยผิดตำแหน่ง ให้วิ่งต่อเพื่อเข้าเส้นชัยเป็นผู้ชนะ ส่วนตัวเขาเองก็วิ่งเหยาะ ๆ ไม่ยอมแซง และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับต่อมา

          เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2555 ในการแข่งขันวิ่งที่เมืองเบอร์ลาดาของสเปน โดย ในวันนั้น นายอิวาน เฟอร์นานเดซ อนายา กำลังจะวิ่งเข้าเส้นชัยต่อจากนักวิ่งจากเคนยาคนหนึ่ง แต่ก่อนจะเข้าเส้นชัยนั้น เขาเห็นว่านักวิ่งชาวเคนยาที่วิ่งนำเขานั้นหยุดวิ่ง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าถึงเส้นชัยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น แทนที่เขาจะเร่งสปีดแซงหน้าคู่แข่งเพื่อวิ่งเข้าเส้นชัยไปก่อน เขากลับวิ่งเหยาะ ๆ ตามคู่แข่งที่เข้าใจผิดคนนั้น พร้อมสะกิดและพานักวิ่งคนดังกล่าวให้วิ่งต่อ และให้เข้าเส้นชัยไปก่อนในที่สุด
          จากเหตุการณ์ดังกล่าว อิวานกล่าวว่า "ผมไม่สมควรจะชนะนะ ผมทำในสิ่งที่ผมควรต้องทำ เขาเป็นผู้ชนะตัวจริง เขาวิ่งนำหน้าผมในระยะที่ผมไม่สามารถวิ่งตามเขาทันได้เลย ถ้าหากว่าเขาไม่วิ่งไปผิดทาง ดังนั้น เมื่อผมเห็นว่าเขาหยุด ผมรู้เลยว่าผมต้องไม่วิ่งแซงเขาไป"

          
ได้ ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้แล้ว ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไรดี แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้สึกเหมือนกันว่า มันน่าประทับใจจริง ๆ ล่ะ

ภาพและข้อมูลจาก http://www.zoneza.com


VDO จาก http://www.youtube.com

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

วท.-แพทย์ มธ.พัฒนาวัสดุนำส่งยารักษากระดูกอักเสบ


นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบและติดเชื้อในกระดูกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอันตรายและอาจนำไปสู่การสูญเสียอวัยวะหรือแม้แต่การเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการรักษา คือ ใช้วัสดุนำส่งยาที่เป็นเม็ดกลมร้อยเป็นสายผสมยาปฏิชีวนะ ซึ่งวัสดุดังกล่าวผลิตขึ้นจากพอลิเมทิลเมทาคริเลตที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยวิธีการรักษาจะนำวัสดุนำส่งยาดังกล่าวไปวางไว้ในแผล เพื่อปล่อยยาปฏิชีวนะออกมาในปริมาณสูงช่วงแรกเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในบาดแผล จากนั้นจึงปล่อยในปริมาณที่ลดลงและปล่อยยาเฉพาะพื้นที่ แต่หากทิ้งไว้อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา และเกิดการติดเชื้อภายหลังได้ และหลังจากอาการติดเชื้อดีขึ้นแล้วจะต้องผ่าตัดเพื่อนำวัสดุดังกล่าวออกอีกครั้ง
รมว.วท. กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) พัฒนาวัสดุนำส่งยาชนิดไฮดรอกซีแอปาไทต์ผสมกับยาปฏิชีวนะเข้มข้นขึ้น ซึ่งมีจุดเด่นคือ เมื่ออาการติดเชื้อดีขึ้นแล้วไม่จำเป็นต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อนำวัสดุดังกล่าวออก เนื่องจากวัสดุนำส่งยาที่พัฒนาขึ้นใหม่จะเป็นกระดูกเทียมไปในตัวและถูกทดแทนด้วยกระดูกของผู้ป่วยจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งนี้จากการติดตามผลการทดสอบการใช้งานในผู้ป่วยอาสาสมัคร 25 ราย พบว่าผู้ป่วยทุกรายมีสุขภาพที่ดีหลังการผ่าตัด ไม่พบอาการแทรกซ้อน การปฏิเสธของร่างกาย หรือการติดเชื้อ.

ภาพจากอินเทอร์เน็ตและข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

อลินา มิรอง (Alina Miron) กับ ชี้แจงทางวาจาต่อศาลโลก ในกรณีของแผนที่


หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าชี้แจงทางวาจาต่อคณะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ของ มีส(นางสาว) อลินา มิรอง (Alina Miron) ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ฝ่ายไทย ผู้ช่วยของ ศ.อแลง แปลเล่ต์ (Alain Pellet) ทนายชาวฝรั่งเศสของไทย เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้เกิด กระแส มิส อลินา มิรอง ฟีเวอร์ขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย ทันที 

มีส อลินา มิรอง ได้รับมอบหมายจากหน.คณะกฏหมาย ท่านทูตวีรชัย พลาศรัยให้ทำหน้าที่แถลงด้วยวาจาในประเด็นของแผนที่ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการต่อสู้ของฝ่ายไทย โดยเธอที่สามารถอธิบายให้คนทั้งโลกเห็นว่ากัมพูชาไม่ได้มีสิทธิ์ในพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร "ไทยทราบดีมาโดยตลอดว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาจากแผนที่โบราณที่แสดงไว้ในภาคผนวกแม้ตัวปราสาทจะเป็นของกัมพูชาแต่แผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชานำมาใช้ ก็ไม่ได้บอกว่ากัมพูชา
มีสิทธิเหนือพื้นที่อื่นๆ" อลินา มิรอง กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างการเข้าชีแจงทางวาจา ต่อศาลโลก 

เธอได้รับเสียงสรรเสริญชื่นชมในการทำงานจากโลกออนไลน์รวมถึงกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่เดินทางไปติดตามสังเกตุการณ์ด้วย

นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา โพสต์ในเฟส บุ๊คว่า ประทับใจคำอธิบายอลินามิรองผู้เชี่ยวชาญแผนที่ฝ่ายไทยอย่างยิ่งทั้งความสุภาพค่อยๆอธิบายด้วยการใช้เทคนิคภาพแผนที่ เหตุผล เปรียบเทียบจนเคลียร์ ถึงตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจขึ้นว่ากัมพูชาที่ฟ้องเราไม่มีเหตุผลพอจะชนะเราได้ ทันทีที่เธออธิบายเสร็จพวกเราทุกคนในศาลอดจะชมเชยไม่ได้ โดยเฉพาะสว.ประสาร (มฤคพิทักษ์) แอบไปชมเชยเธอถึงตัวเลยทีเดียวexcellent ครับ

ขณะที่ ส.ว. คำนูญ สิทธิสมาน ซึ่งอยู่ที่ ศาลโลก กรุงเเฮก เนเธอร์แลนด์ ก็ชื่นชมการทำงานว่า 
อลินา มิรอง ทนายเชื้อสายโรมาเนีย แถลงด้วยภาษาฝรั่งเศส ผู้ช่วยของโปรเฟสเซอร์อแลง แปลเล่ต์ ทนายชาวฝรั่งเศสของไทย เธอเป็นอาวุธลับที่ขึ้นมาพูดเรื่อง 'map'(แผนที่) โดยเฉพาะ กำลังขึ้นมาฉีก 'the Annex I map' ของกัมพูชาเป็นชิ้น ๆ โดยใช้อาวุธหนักที่ทรงพลานุภาพของไทยตั้งแต่เมื่อปี 2505 ชื่อ 'map sheets 3' ที่อยู่ในรายงานสเกมาฮอน แห่งสถาบัน ITC พยานผู้เชี่ยวชาญของไทย (Annex 49)ที่มาจากภาพถ่ายทางอากาศของอเมริกันผสมกับการเดินสำรวจสถานที่จริงของนานเฟรเดริค อัครมัน ผู้ช่วยของศาสตราจารย์วิลเลม สเกมาฮอน

หรือหน้าเพจของ "สายตรงภาคสนาม" ที่โพสต์ข้อความตอนหนึ่งว่า "อลินา มิรอง ผู้ช่วยของศาสตราจารย์อแลง แปลเล่ต์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกัมพูชาในเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนในแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมาและแผนที่ดังกล่าวขัดต่อหลักภูมิศาสตร์ไม่สามารถถ่ายทอดลงแผนที่ในโลกปัจจุบันได้ และแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้นไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวแต่ทีมฝ่ายไทยพบถึง 6 ฉบับ ทำให้แผนที่นี้ขาดความน่าเชื่อถือ และยังขาดความแม่นยำทางเทคนิคด้วย" โดยมีคนกดไลค์มากว่า 5 พันไลค์และกด แชร์มากถึง 2,310 แชร์ เพียงแค่โพสต์ข้อความนี้ลงไปแค่ 22 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ในหน้า เพจเฟซบุ้ค ของนักข่าวรุ่นใหญ่ อย่าง นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ พี่เป๊ปซี่ ที่นำเอาข้อความและรูปภาพของทนายความ คนเก่ง โพสต์ขึ้นในเฟซบุ้ค Sermsuk Kasitipradit ก็มีคนเข้ามากด ไลค์มากว่า 700 ไลค์ จนเจ้าตัวยังตกใจ และโพสต์ข้อความว่า "ไม่เคยมีโพสต์ไหนของผมเกินสามร้อยไลค์ ตื่นมาตี่สี่วันนี้เห็นคนมากดไลค์ 700 บวก โอ..เธอเป็นมายดาร์ลิ่งของพวกเราแล้วจริงๆ"

หรือแม้แต่ในเว็บไซต์พันทิพย์ ก็มีการหยิบยก เรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยเช่นกัน เช่น BaaD ตั้งกระทู้ ชื่อว่า "ชาวเน็ตแห่ชม อลินา มิรอง ทีมกฎหมายไทยแจงคดีเขาพระวิหาร หลังนำแผนที่ The big map โต้ the Annex I map ของกัมพูชาขาดกระจุย" ผู้ที่ใช้ชื่อว่า อดีตหัวหน้าเผ่า ตั้งกระทู้ ว่า
 "อลินา มีรอง ทีเด็ดฝ่ายไทย แซ่ซ้องสนั่นโลกออนไลน์"


ภาพและข้อมูลจาก http://breakingnews.nationchannel.com/

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

ไก่ไข่อินทรีย์ จากแม่ไก่อารมณ์ดี ที่ คลองหาด จังหวัดสระแก้ว


“ไก่ไข่อินทรีย์วิถีสระแก้ว” เป็นหนึ่งในนโยบายการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกที่ดำเนินการอยู่ในเขตจังหวัดสระแก้ว โดยมีสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระแก้ว เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและดูแลมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ 9 อำเภอ ของจังหวัด และได้มีเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมากมาย

นอกเหนือจากการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์วิถีสระแก้วแล้ว ยังมีโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่พื้นเมืองอินทรีย์วิถีสระแก้ว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ

โดยมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่และไก่พื้นเมืองในระบบอินทรีย์นั้น เนื่องจากปัจจุบันไก่พื้นเมืองที่เกษตรกรเลี้ยงด้วยวิถีอินทรีย์ เป็นที่นิยมบริโภคมากในประเทศเพื่อนบ้าน จนผลิตไม่พอขาย ด้วยวัสดุที่มีอยู่ในชุมชน ทำให้เนื้อไก่ที่ได้ไม่มีสารตกค้าง เมื่อนำมาบริโภคมีรสชาติที่ชวนกิน เนื้อแน่นและนุ่ม จึงมีการสั่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก

ขณะที่ไข่ไก่อินทรีย์ก็เช่นกัน ขณะนี้เกษตรกรที่เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ผลิตไข่ไก่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทางจังหวัดสระแก้วจึงเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ให้มากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค

ไข่อินทรีย์ คือไข่ปลอดสารพิษที่ได้มาจากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่มีการฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต หรือกินอาหารที่มีสารพิษตกค้าง

บ้านเลขที่ 83 หมู่ที่ 5 ตำบลคลองหาด อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว โทร. (086) 167-8494 บ้านของเกษตรกรคนเก่งอีกคนหนึ่งของจังหวัดสระแก้ว คุณเฉลย และ คุณสมใจ ละม้ายพันธ์ เป็นหนึ่งในเกษตรกรตัวอย่างและผู้ริเริ่มการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์จนประสบความสำเร็จ และสามารถผลิตไข่ไก่อินทรีย์ออกจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้จะมีเรียกกันติดปากว่า ไข่คลองหาด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นไข่ไก่อินทรีย์ที่มาจากแม่ไก่อารมณ์ดี

“การที่แม่ไก่อารมณ์ดีนั้น มีสาเหตุมาจากระบบการเลี้ยงของเราที่เน้นให้เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าการเลี้ยงไก่อินทรีย์ ที่เน้นการเลี้ยงปล่อย คือปล่อยให้ไก่เดินเล่นอย่างเป็นอิสระตามธรรมชาติ ไม่เลี้ยงในกรงตับ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดของไก่ ทำให้ไก่ไข่ที่เลี้ยงได้ออกกำลังกาย ได้คุ้ยเขี่ยอาหารตามธรรมชาติ ทำให้ไก่สุขภาพแข็งแรง ด้านอาหารก็เลี้ยงด้วยสูตรอาหารธัญพืชปลอดสาร ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่ง ปล่อยสารเร่งสี และใช้น้ำหมักชีวภาพ สมุนไพรต่างๆ เพื่อให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง”

“เมื่อไก่ไข่ที่เลี้ยงอารมณ์ดี มีสุขภาพดี ผลผลิตที่ได้ก็มีคุณภาพดีตามมาด้วย แถมยังปลอดสารพิษ เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค มีคนจากประเทศญี่ปุ่นมาเที่ยวที่ฟาร์ม เขาบอกว่า ไข่ไก่ของผมคุณภาพดีมาก ไม่มีกลิ่นคาว รสชาติออกมันๆ เขาตอกใส่ปากกินสดๆ เลย” ลุงเฉลย กล่าว

ทั้งนี้ ลุงเฉลย บอกกล่าวถึงจุดเริ่มต้นว่า มาจากอาการป่วยของภรรยาคือ ป้าสมใจ ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ และได้มีข้อแนะนำจากแพทย์แผนไทยที่รู้จักกัน ให้ป้าสมใจกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

“หมอแนะนำว่า  กินอาหารเป็นยา”

จาก คำว่า อาหารเป็นยา ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่การเป็นปศุสัตว์ด้านไก่ไข่อินทรีย์จนถึงปัจจุบัน

“แต่ก่อนทำเกษตร ใช้สารเคมีมาเยอะ ซึ่งร่างกายผมเองก็รับไม่ไหว แต่พอเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของอินทรีย์ที่ไม่ต้องมีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวนี้สุขภาพดีขึ้นมาก ต่างกับอดีตที่ผมปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพด อย่างมากมาย ที่เคยใช้สารเคมี แต่ก่อนผมจะมีปัญหาว่าทำงานหนักแล้วเหนื่อยง่ายมาก”

ลุงเฉลย บอกว่า ปี 2549 เป็นปีแรกของการเริ่มต้นด้วยไก่ไข่ที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินของกองทุนหมู่บ้าน จำนวน 7 ตัว และต่อมาได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ อย่าง สำนักงานปศุสัตว์อำเภอคลองหาด ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว เข้ามาสนับสนุนในด้านต่างๆ จนเกิดการพัฒนาและเกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่สนใจ อีก 20 คน กลายเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์อำเภอคลองหาด

แต่ที่สำคัญคือ ผลงานความสำเร็จของลุงเฉลยและทางกลุ่มเกษตรกรได้แพร่กระจายออกไปตามสื่อต่างๆ ทำให้มีผู้สนใจได้เดินทางมาเยี่ยม และนำไปเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพในหลายจังหวัด

ปัจจุบัน ลุงเฉลย เลี้ยงไก่ไข่อยู่ทั้งหมด 300 ตัว โดยเป็นสายพันธุ์ไก่ไข่ที่นำลงเลี้ยงมาตั้งแต่ ปี 2552

“ทุกวันนี้ ยังได้ไข่อยู่เลย เปอร์เซ็นต์การให้ไข่ดี เช่น ไก่ไข่ จำนวน 90 ตัว ได้ไข่ 79-80 ฟอง ที่ผมยังไม่เปลี่ยน เพราะต้องการศึกษาว่า ถ้าเราเลี้ยงในลักษณะไก่ไข่อินทรีย์แบบนี้ ตัวไก่จะสามารถให้ผลผลิตได้นานขนาดไหน เพื่อให้เป็นข้อมูลแก่เกษตรกรผู้สนใจใหม่ๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้”

ลักษณะการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ของลุงเฉลย จะเป็นคอกที่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นโรงเรือนเพื่อให้ไก่ได้ใช้เป็นที่นอน โดยจะทำคอนให้ไก่ไว้เกาะนอนช่วงกลางคืน และกินน้ำ อาหาร อีกส่วนเป็นพื้นที่แปลงหญ้า เพื่อให้ไก่ออกมาหากินหญ้า แมลง ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ อัตราการปล่อยเลี้ยงมีข้อแนะนำว่า พื้นที่ 1 ตารางวา ต่อไก่ 1 ตัว และให้มีรังไข่ 1 รัง ต่อไก่ 9 ตัว

สำหรับในส่วนของอาหารที่ให้ไก่กินนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อาหารหลัก ได้แก่ อาหารข้น และอาหารเสริมต่างๆ ตามธรรมชาติ

“อาหารที่ใช้เลี้ยงผมผสมอาหารเอง โดยไม่ให้มีเคมี ใช้วัตถุดิบทั้งที่ผลิตได้เองและซื้อมา โดยประยุกต์สูตรอาหารมาจากศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว โดยผมจะถอดส่วนผสมที่เป็นสารเคมีออก แล้วเพิ่มในส่วนของสมุนไพรเข้าไปแทน โดยจะมีส่วนผสมของ ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ถั่วอบ รำ เกลือ เปลือกหอย”

สำหรับสมุนไพรที่ลุงเฉลยใช้ผสมให้ไก่กินนั้น ส่วนมากจะเป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้ง่ายในพื้นที่ เช่น ใบเตย ต้นโทงเทง มีสรรพคุณแก้หวัดในสัตว์ ต้นฟ้าทลายโจร มีสรรพคุณฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใบฝรั่ง มีสรรพคุณแก้ท้องเสีย หญ้าจีนแดง มีสรรพคุณใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ซึ่งตามคำแนะนำที่ผมเคยไปอบรมมา บอกว่า ต้องนำมาหมักก่อนแล้วผสมน้ำให้ไก่กิน แต่ผมมองว่ามีขั้นตอนเยอะไป ผมเลยนำมาตากแห้งบ้าง หรือบางครั้งก็ใช้สด แล้วผสมลงไปในอาหารโดยตรง ซึ่งอาหารข้น 100 กิโลกรัม จะใส่สมุนไพรลงไป ประมาณ 1 กิโลกรัม ไก่ที่ผมเลี้ยงกินสมุนไพรแบบนี้เข้าไปด้วย ทำให้แข็งแรง ไม่เคยป่วยเป็นโรค ซึ่งที่ฟาร์มผมไม่เคยทำวัคซีนให้กับไก่เลย 

“ไม่ใช่เฉพาะที่ต้องเป็นสมุนไพรอย่างเดียว แม้แต่พืชผักต่างๆ ที่เรากิน ไม่ว่า พริก ข่า ตะไคร้ มะละกอ ตำลึง หรือต้นกระถินที่ขึ้นริมรั้ว ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อไก่ทั้งสิ้น เรานำมาให้ไก่กินได้เลย”

ลุงเฉลย บอกว่า สำหรับอาหารข้นที่ผลิตขึ้นนั้น จะนำมาให้ไก่กิน วันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและบ่าย

“ไก่ไข่ตัวหนึ่งจะกินอาหาร วันละ 1 ขีด ดังนั้น ถ้าไก่ 10 ตัว ก็จะกินอาหาร 1 กิโลกรัม เราก็แบ่งให้กินในช่วงเช้า 0.5 กิโลกรัม และประมาณบ่าย 3 โมงเย็น จะให้อาหารอีก 0.5 กิโลกรัม พร้อมทั้งมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา”

ส่วนอาหารเสริมตามธรรมชาติ จะเน้นการปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาตินั้น ลุงเฉลย บอกว่า การปล่อยให้กินหญ้า แมลง ตามธรรมชาติ จะเริ่มปล่อยตั้งแต่ 4 โมงเย็น ทุกวัน ซึ่งไก่จะหากินจนมืดและจะกลับขึ้นคอกนอนเอง

“นอกจากปล่อยให้กินหญ้าตามธรรมชาติแล้ว บางช่วงผมก็จะปลูกผักไว้ในพื้นที่ข้างๆ ด้วย เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน ซึ่งต้นสวยๆ ป้าสมใจจะคัดออกไปจำหน่าย ส่วนที่เหลือก็จะเก็บมาโยนให้ไก่กิน ผักที่ปลูกจะไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน หากมีโรคแมลงเกิดขึ้น ผมก็จะใช้น้ำหมักสมุนไพรฉีดพ่น”
ลุงเฉลย ได้กล่าวถึงด้านการตลาดไข่ไก่อินทรีย์ที่ผลิตได้ในขณะนี้ว่า ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ

“ตอนนี้ความต้องการมีมาก ไม่เฉพาะในพื้นที่อำเภอคลองหาดเท่านั้น ตามจังหวัดต่างๆ ก็ติดต่อเข้ามากันเยอะ แต่ผมมีข้อจำกัดว่า ทำกับป้า 2 คน เราจึงไม่สามารถขยายออกไปให้เพียงพอกับตลาดได้ ตอนนี้เราจึงขายเท่าที่เรามีไป แต่ผมบอกได้เลยว่า หากทำอย่างถูกต้อง ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นไก่ไข่อินทรีย์แล้ว เรื่องตลาดไม่ต้องเป็นห่วง มีความต้องการสูงมาก” ลุงเฉลย กล่าวทิ้งท้าย

ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th


อัจฉริยะวัย 16 ปี คิดค้นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้น


เเจ็ค แอนเดรก้า เด็กนักเรียนชายอเมริกันวัยสิบหกปีจากรัฐแมรี่เเลนด์ได้พัฒนาวิธีการง่ายๆในการตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้น เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคและการบำบัดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มะเร็งตับอ่อนเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงชนิดหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วมีคนเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับอ่อนมากกว่าสองแสนห้าหมื่นรายทั่วโลกและตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เเจ็ค แอนเดรก้า ได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน Intel International Science and Engineering Fair ซึ่งเป็นการเเข่งขันความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้วในเมืองพิทสเบริ์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เขาเป็นผู้ชนะเลิศรางวัลนี้ที่อายุน้อยที่สุด คว้าเงินรางวัลเจ็ดหมื่นห้าพันดอลล่าร์สหรัฐหรือราวสองล้านสองแสนห้าหมื่นบาท เอาชนะผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 1,500 คนจากเจ็ดสิบประเทศ

ความสำเร็จของเเจ็คเป็นผลสืบเนื่องจากความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ของเขามาตั้งแต่เล็กๆ และได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่และได้รับเเรงบันดาลใจจากพี่ชายที่เป็นผู้ชนะรางวัลเดียวกันนี้เมื่อปี ค.ศ 2010 ประกอบกับโรงเรียนส่งเสริมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย

เเจ็คชนะเลิสรางวัลนี้เพราะเขาคิดค้นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มต้นแบบง่ายและไม่แพง เขาเกิดความสนใจเรื่องมะเร็งตับอ่อนหลังจากญาติสนิทคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยมะเร็งชนิดนี้

เเจ็คกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเขาเสาะหาข้อมูลเรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ทและพบว่า 80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดนี้เมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามเเล้วและมีโอกาสรอดเพียง 2% เท่านั้น และพบว่าผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนจะมีระดับโปรตีนที่เรียกว่า เมโซธีลิน (mesothelin) ในกระเเสเลือดในปริมาณสูงกว่าปกติ และการตรวจพบโรคแต่เนิ่นๆจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดเเก่ผู้ป่วย

เเจ็คทำการพัฒนาเซ็นเซ่อร์กระดาษแบบง่ายที่สามารถตรวจหาโปรตีนเมโซธีลินด้วยการหยดเลือดหรือปัสสาวะเพียงหยดเดียวลงไปบนตัวเซ็นเซ่อร์กระดาษ การตรวจด้วยวิธีที่เเจ็คคิดค้นขึ้นนี้ได้ผลแม่นยำถึง 90% การตรวจเเบนี้เสียค่าใช้จ่ายแค่สามเซ็นต์ต่อครั้งและใช้เวลาทั้งหมดแค่ห้านาที

ด็อกเตอร์อันเนียบัน เมทตรา อาจารย์ที่ปรึกษาของเเจ็คที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins เป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพียงผู้เดียวที่แสดงความสนใจในโครงการพัฒนาวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนของแจ็ค จากบรรดานักวิจัยถึง 200 คนที่เเจ็คเขียนอีเมลล์ถึง

ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าเมื่อได้รับอีเมลล์จากเเจ็ค ตนเองต้องยอมรับว่าทึ่งมากเมื่อรู้ว่าผู้เขียนโครงการนี้อายุแค่ 15 ปี จึงต้องการพบกับนักวิทยาศาสตร์เยาว์วัยที่มีพรสวรรค์ผู้นี้ เพื่อให้เเจ็คอธิบายโครงการที่เขาต้องการทำ จึงได้โทรศัพท์ติดต่อกับเเจ็คเพื่อขอสัมภาษณ์ ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าประทับใจในตัวเเจ็คมาก

ด็อกเตอร์เมทตราอนุญาติให้เเจ็คใช้มุมหนึ่งในห้องแล็ปของเขาที่มหาวิทยาลัย เเจ็คใช้เวลาทำงานในห้องแล็ปนาน 7 เดือนเพื่อพัฒนาชิ้นงานยอดเยี่ยมของเขา

หลังจากได้รับรางวัล เเจ็คได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของตัวเซ็นเซ่อร์ตรวจมะเร็งตับอ่อนและกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาตัวเซ็นเซ่อร์ให้เป็นวิธีตรวจหามะเร็งตับอ่อนอย่างง่ายที่หาซื้อไปได้ตามร้านขายยา

แจ็คได้รับเชิญไปร่วมงานสำคัญหลายงาน ด็อกเตอร์เมทตรากล่าวว่าเขาไม่แปลกใจเลยที่เเจ็คโด่งดัง เขาคิดว่าเราจะได้ยินชื่อของเเจ็ค แอนเดรก้าไปอีกนาน สิบหรือยี่สิบปีจากนี้ไป หากเด็กคนนี้สร้างความน่าทึ่งทางวิทยาศาสตร์ได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ใครจะรู้ว่าเเจ็คจะพัฒนาอะไรใหม่ๆออกมาอีกบ้างตอนเขาอายุ 25 ปีหรือ 35 ปี

ภาพและข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th

ผลวิจัยชี้ ความขี้เกียจ มันอยู่ใน ยีน


ผลงานวิจัยล่าสุดของทีมศึกษาวิจัยจากคอลเลจ ออฟ เวเทอรินารี เมดิซีน แห่งมหาวิทยาลัยมิสซูรี สหรัฐอเมริกา อาจช่วยอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใด คนบางคนถึงมีความกระตือรือร้นในทุกสิ่งทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับอีกบางคนที่เฉื่อย เนือย ขี้เกียจไปเสียทุกอย่างตลอดเวลา

นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ ศึกษาวิจัยโดยใช้วิธีการทดลองและจดบันทึกจากหนูทดลอง ด้วยการนำหนูจำนวนหนึ่งมาปล่อยไว้ในกรงที่มีกงล้อหรือจักรไว้ให้มันวิ่งออกกำลังอยู่ด้วย จากนั้นก็บันทึกระยะเวลาที่หนูแต่ละตัวใช้ในการวิ่งกับกงล้อในช่วงระยะเวลา 6 วัน แล้วนำเอาหนูที่ "ขยัน" ที่สุด คือที่ใช้เวลาวิ่งบนกงล้อนานที่สุด 26 ตัว มาจับคู่ผสมพันธุ์กัน ในเวลาเดียวกันก็นำหนูที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการวิ่งกงล้อ 26 ตัวมาจับคู่ผสมพันธุ์กันเอง ทำซ้ำเช่นนี้เพื่อการคัดสายพันธุ์ต่อเนื่องตลอด 10 เจเนอเรชั่นของหนู แล้วนำเอาหนูที่ได้มาทดลองวิ่งกงล้ออีกครั้ง ทีมวิจัยพบว่า หนูในสายพันธุ์ "ขยัน" วิ่งกงล้อมากกว่าหนูในสายพันธุ์ "ขี้เกียจ" มากถึง 10 เท่า

ทีมวิจัยพยายามหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความแตกต่างดังกล่าว โดยการเปรียบเทียบ "ไมโตคอนเดรีย" หรือ โครงสร้างสำหรับสร้างพลังงานของเซลล์ในเซลล์กล้ามเนื้อของหนูทั้งสองสายพันธุ์ โดยใช้การเปรียบเทียบคุณลักษณะทั้งในเชิงกายภาพและในทางพันธุกรรม

ไมเคิล โรเบิร์ตส์ หนึ่งในทีมวิจัย พบว่ามีความแตกต่างกันน้อยมากในแง่ขององค์ประกอบทางร่างกายของหนูสองสายพันธุ์ดังกล่าว เช่นเดียวกันกับความแตกต่างของไมโตคอนเดรีย แต่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างหนูทั้งสองสายพันธุ์ก็คือ ความแตกต่างของยีนซึ่งเป็นคุณลักษณะทางพันธุกรรม เมื่อตรวจสอบรหัสพันธุกรรมในส่วนของสมอง พบว่าในบรรดากว่า 17,000 ยีนของสมองส่วนหนึ่ง มียีนมากถึง 36 ตัว ที่เชื่อว่าเป็นตัวกำหนดแรงกระจูงใจในการทำกิจกรรมของร่างกายไว้ล่วงหน้า

ผลการวิจัยดังกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ของ ดร.เกรกอรี สไตน์เบิร์ก ของมหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์ ซึ่งค้นพบยีน 2 ตัวของหนูทดลองที่เมื่อปิดการทำงานของมันไป หนูที่กระตือรือร้นจะกลายเป็นหนูขี้เกียจไปในทันที

ทีมวิจัยของไมเคิล โรเบิร์ต เตรียมศึกษาวิจัยต่อเพื่อจำแนกให้ได้ว่า ยีนตัวใดที่เป็นตัวกำหนดแรงจูงใจให้หนูออกกำลัง (ด้วยการวิ่งวงล้อ) หลังจากนั้นจะนำผลการศึกษาในหนูไปเทียบเคียงกับผลการศึกษาในมนุษย์ต่อไป ภายใต้สมมติฐานที่ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่มนุษย์เราเองก็มียีนที่เป็นตัวกำหนดความขี้เกียจไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน และหากเป็นเช่นนั้นจริงและทีมวิจัยสามารถจำแนกยีนขยัน ยีนขี้เกียจในมนุษย์ได้ ก็จะสามารถนำมาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพหลายๆ อย่างของคนเราได้ อย่างเช่น ภาวะโรคอ้วน จากการไม่ออกกำลังกาย, โรคที่ก่อให้เกิดปัญหากับการเจริญเติบโตโดยเฉพาะในเด็กๆ เป็นต้น

ข้อมูลจาก http://www.prachachat.net
ภาพจาก อินเทอเน็ต